วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หึง

พระเอกหล่อมากเพลงเพราะมาก

แด่เธอที่รัก

ฟังกี่ครั้งร้องไห้ทุกครั้งเลย

ปลายทาง

จะฟังกี่ครั้งก็เพราะเหมือนเดิม

เขียนให้ลืมเธอ

ฟังเพลงนี้คิดถึงแฟนเก่า

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อีกมุมของความหมาย รัก

                                     อีกมุมของความหมาย รัก
รัก คืออะไร คำตอบนี้อาจไม่มีที่สิ้นสุด
แต่การที่จะบอกรักใครบางคน
นั่นไม่ใช่การตัดสินใจเพียงอารมณ์ชั่ววูบ
และรักก็ไม่ใช่แค่ คำพูด รักคือความรู้สึกที่ออกมาจากใจทุกๆคน

" รัก " คือคำที่ใช้แทนความรู้สึก

บางคนแทน ในความหมายที่มากเกินไป
บางคนแทนในความหมายที่ไม่ตรงประเด็น
บาง คนแทนในความหมายที่เกินความเป็นจริง
บางคนแทนในความหมายที่เหมือนคิดว่า ตัวเองอยู่แต่ในความฝัน

จริงๆ แล้ว คำว่า "รัก" ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย
" รัก " ก็แค่ความรู้สึกอันหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ผลของการที่คนๆ หนึ่งมีรักขึ้นมา
มันทำให้เกิดเรื่องราวหลากหลาย ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและความคิดของแต่ละคน

ที่บอกว่า " รัก " ไม่ยิ่งใหญ่
เพราะว่า เรื่องราวของความรักต่ะหากที่ทำให้คุณรู้สึก ขนพอง
ที่ทำให้คุณรู้สึกซึ้ง เศร้า มันเป็นแค่เรื่องราวของชีวิต
มัน ไม่ใช่ความรัก ที่คุณยิ้มน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะคุณชื่นชมคำว่า "รัก"
แต่ คุณชื่นชมเรื่องราวแห่งความรัก ต่ะหาก

ความ รักคือการให้
ความรักคือการเข้าใจกัน
ความ รักไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะมันมีความหมายมากเกินกว่าจะเข้าใจ ได้
และนี่อาจจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของความหมายในคำว่า รัก

"รัก" ไม่มีคำว่าเศร้า ทุกข์ ขมขื่น หรืออะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี…
"รัก" มีแต่สิ่งดีๆ ให้กันและกัน

สิ่ง ไม่ดีที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจาก "รัก" แต่เกิดจากการคาดหวัง
ที่แต่ ละคนคิดว่าหากรักกันแล้ว ... ต้องทำให้ได้ทุกอย่าง
ในความเป็นจริงแล้ว ใช่อย่างนั้นหรือ ... การคาดหวังเกิดขึ้นได้กับทุกคน...
แล้วจะ เกิดอะไรขึ้นเมื่อสิ่งที่คาดหวังของคนสองคนไม่ตรงกัน...
คุณคงนึก ภาพออก...
แล้วถ้ายิ่งคุณทำอะไรให้กับคนที่คุณรักแล้วแต่ไม่ตรงกับ ที่คนรักคุณคาดไว้สิ่งนั้นก็หมดความหมาย...

คนทำก็หมด กำลังใจ ทำตั้งเยอะไม่ได้อะไร ตอบแทนเลย
จึงกลายเป็นการเรียกร้องเกิด ขึ้น
เมื่อคุณเป็นฝ่ายให้แล้วทำไมอีกฝ่ายไม่เป็นฝ่ายให้บ้าง
โดย คุณอาจลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ได้ให้คุณเหมือนกัน
เพียงแต่สิ่งนั้นไม่ ได้ตรงกับที่คุณคาดไว้ และมันไม่มีความหมายกับคุณเลย
เมื่อคนสองคน คิดไม่ตรงกัน ... ที่ต้องการจะเป็นฝ่ายรับ
หรือเรียกร้องที่จะรับโดยบอก ให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายให้...
ความทุกข์ต่างๆ ก็จะตามมา

"รัก" ไม่ต้องคาดหวัง...ทำให้เมื่ออยากทำ...ไม่ต้อง รอสิ่งตอบแทน...
และรับในสิ่งที่อีกฝ่ายให้เมื่อเขาอยาก ให้...ไม่ต้องเรียกร้อง
เป็นตัวของตัวเองในบางครั้ง...โอนอ่อนใน บางที...สิ่งดีๆ ก็จะเกิด "รัก" ก็จะปรากฎ


ความรักคืออะไร

เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร









คำ ที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"





หากคุณคิดที่ จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน
ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ

หาก ใครสักคนของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร
แล้วเค้าหาซื้อ ของชิ้นนั้นให้
ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...
นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ







ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย
ใครสักคนของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วย ความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน
คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย

หากคุณทะเลาะกับใครสักคนของคุณ แต่แล้ววันรุ่งขึ้น
เขาคนนั้นยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน
ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่น แหละเรียกว่าความใส่ใจ






หากใครสักคน ของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง
เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณ ขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ

คน เรา..บางครั้ง..ก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง
หากคุณต้องเดินทาง ไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าใครสักคนของคุณโทรมาถามว่า


"ถึงหรือยัง" .... "ปลอดภัยดีไหม"....”เหนื่อยไหม"....

หากคุณต้อง ปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน
มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าใครสักคนของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า
"โชค ดีนะ ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"

หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
ถ้าใครสัค นของคุณโทรมาบอกว่า "ขับรถดีๆนะ"หาก คุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอา มากๆ
ถ้าใครสักคนของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ

ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน
คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่
ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือน คนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน





แต่ฉันกลับไม่คิดอย่างนั้น

ยิ่ง สนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน

ความเกรงใจเป็น สิ่งดี
และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน
คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน








เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจใครสักคนของคุณแล้วหรือยัง?????





ที่มา  http://www.lovehealthy-beauty.com/index.php?topic=370.msg461;topicseen#msg461

เรื่องสั้นๆน่าอ่าน

เลิกคิดแบบนี้...แล้วเราจะโสดแบบมีความสุข

จากหน้าตาที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความหวัง ก็กลายเป็นหมองหม่น ไปๆ มาๆ เลยพาลมองโลกในแง่ร้าย และมีความเชื่อผิดๆ ที่บ่อนทำลายชีวิตไปซะงั้น ต่อไปนี้คือความเชื่อที่ควรลบล้างออกจากสมอง ถ้าอยากเป็นคนโสดที่มีความสุข


เฮ้อ...ชีวิตหนอชีวิต มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนมีคู่ เดินเกี่ยวก้อยตระกองกอดกันกระหนุงกระหนิง หันมองดูตัวเองจนป่านนี้ยังใส่เสื้อยืดเขียนว่า โสดสนิท ใส่มาหลายปีแล้วก็ยังไม่มีแฟนกับเขาสักที เครียดๆๆ จากหน้าตาที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความหวัง ก็กลายเป็นหมองหม่น ไปๆ มาๆ เลยพาลมองโลกในแง่ร้าย และมีความเชื่อผิดๆ ที่บ่อนทำลายชีวิตไปซะงั้น


ต่อ ไปนี้คือความเชื่อที่ควรลบล้างออกจากสมอง ถ้าอยากเป็นคนโสดที่มีความสุข


การ มองโลกในแง่ดีคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
คนที่มองโลกในแง่ลบจะคิดว่าคนที่ มองโลกในแง่บวกคือพวกเพ้อเจ้อ และน่าสมเพชเพราะไม่สามารถมองชีวิตอย่างเป็นจริงได้ แถมคนมองโลกในแง่ลบยังขัดแย้งในตัวเองโดยคิดว่าตัวเองเข้าใจความจริงของ ชีวิตอย่างถ่องแท้ ยอมถูกวิพากษ์วิจารณ์และชอบเยาะเย้ยถากถางคนอื่น แม้แต่อารมณ์ขันก็ยังออกแนวขมขื่นแสบสันต์ เวลาไปไหนมาไหนก็มองเห็นแต่แง่คิดในด้านลบ หรือไม่ก็แปรความหมายทุกสิ่งอย่างออกมาในแง่ลบไปเสียหมด


ในความ เป็นจริง การหลีกหนีจากวังวนขมขื่นดำมืดนี้ง่ายแสนง่าย สมมติว่ามีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แทนที่จะคิดว่าแก้วว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็คิดในทางกลับกันว่า ยังดีนะที่มีน้ำอยู่อีกตั้งครึ่งแก้ว นั่นคือแค่คิดถึงแต่สิ่งที่ดี สิ่งนั้นก็จะส่งผลให้เรารู้สึกดีไปด้วย แทนที่จะคิดว่าฉันเป็นสาวโสดเดียวดายสุดแสนเหงา ก็ลองมองอีกด้านหนึ่งว่า ความเป็นโสดนี้ช่างอิสรเสรีเหนือสิ่งอื่นใด อยากไปไหนทำอะไรไม่ต้องคอยรายงานใคร


ถ้าเราคิดถึงชีวิตในแง่บวก เราจะรู้สึกชื่นชมยินดีมีความสุขกับทุกสิ่งรอบตัวมากขึ้น ประมาณว่าเห็นอะไรก็สดชื่นแฮปปี้เจิดแจ่ม ไม่มีอะไรขวางหูขวางตา ผลที่ตามมาคือ ท่าทางการแสดงออกของเราจะเป็นไปในแง่บวก ดูดีหน้าตาแจ่มใส ใครๆ ก็อยากเข้ามาใกล้ เพราะอยู่ด้วยแล้วพลอยมีความสุขไปด้วย แน่นอนว่าถ้าเราเป็นสาวเบิกบานยิ้มหวานน่ารัก หนุ่มๆ ย่อมอยากเข้าหาชัวร์ !


ใครๆ ก็มีความสุขมากกว่าฉัน
ถ้ามีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวละก็...แสดงว่าเรา นั้นอาจจะมัวสังเกตสังกาคนอื่นมากเกินไป แถมยังเชื่อว่าใครๆ ก็มีชีวิตที่ดีกว่าและมีความรักที่เพอร์เฟ็คท์ แค่มองเห็นคู่รักเดินกอดกันกลมอยู่ข้างถนนก็เหมาเอาว่า คนเหล่านั้นไม่มีปัญหาอะไรในชีวิต จากนั้นก็จะหันมามองชีวิตและความรักของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าความทุกข์พุ่ง จี๊ดขึ้นมาทันที เพราะเราไม่มีความสุขอย่างที่เราคิดว่าคนอื่นเป็น และไม่มีอะไรจะทำให้เราทุกข์ทรมานได้มากไปกว่าความคิดที่ว่า ใครๆ ก็มีความสุขสนุกสนานมากกว่าเรา


ไม่มีใครมีชีวิตหรือมีความ สัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ เลิกคิดเหมาเอาเองว่า ใครๆ ก็มีความสุขเพราะเขามีมากกว่าเรา การมีมากกว่าหรือดูเหมือนมีมากกว่าไม่ได้แปลว่าจะมีความสุขเสมอไป


ความ สุขของฉันขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือสิ่งอื่น
คนที่คิดแบบนี้มักมีประโยคติด ปากว่า คุณทำให้ฉันโกรธมาก! และ คุณทำให้ฉันมีความสุขเหลือเกิน! ถึงแม้คำพูดแบบนี้จะมีสีสันเต็มไปด้วยอารมณ์ มันยังแสดงให้เห็นว่าความสุขของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก ถ้าคนอื่นทำให้เรารู้สึกสุข/เศร้า/โกรธ/หรืออะไรก็ตาม และคนๆ นั้นยังทำให้เราทุกข์/เศร้าน้อยลง/หายโกรธ/หรืออะไรก็ตาม หากสถานะทางอารมณ์ของเรายังถูกควบคุมด้วยการกระทำของคนอื่น เราก็ไม่มีทางหาความสงบในชีวิตได้เลย ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมการกระทำของผู้อื่นได้ แล้วเราจะพบความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร


ข่าวดีคือไม่มีใครหรือ อะไรทำให้เรามีความสุขได้ ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครทำให้ผู้อื่นคิดหรือรู้สึกหรือทำอะไรได้ คนที่มีความสามารถทำได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...นั่นก็คือตัวเราเอง ที่เป็นเจ้าของความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม เมื่อไรที่เรายอมรับความจริงข้อนี้ได้ เราก็จะมีความสุขที่แท้จริง เลิกรอคอยให้โอกาสเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต เราสามารถทำให้ตัวเรามีความสุขได้ทุกวันทุกเวลา...ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาใน ชีวิต


ฉันไม่สามารถมีความสุขได้ในฐานะคนโสดที่อยู่คนเดียว
มี คนมากมายเชื่อว่าชีวิตจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อมีคู่อยู่ด้วยกันเท่านั้น ถ้าเราเชื่อแบบนี้ เราก็อาจเชื่อด้วยว่าคนรักจะทำให้เรามีความสุข นอกจากจะเป็นการโยนความรับผิดชอบในความสุขของเราให้ปัจจัยภายนอกแล้ว ยังยัดเยียดความรับผิดชอบนี้ให้คนรักของเราอีกด้วย ซึ่งความจริงของชีวิตที่ไม่ควรลืมคือ ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต ในที่สุดไม่จากเป็นก็จากตาย ดังนั้นถ้ายังเชื่อว่าชีวิตจะมีความสุขเมื่อมีคู่ละก็...เราก็จะทุกข์ทรมาน ไปแบบนี้ละ


นอกจากนั้นเมื่อเราเชื่อว่าคนรักทำให้เรามีความสุข เราก็มีแนวโน้มที่จะโยนความผิดให้เขาหรือเธอในยามที่เราเป็นทุกข์ ดังนั้นการสูญเสียคนรักย่อมทำให้เราทุกข์ยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า ในความเป็นจริงการทำให้ตัวเราเองมีความสุขไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนรัก มันเป็นความรับผิดชอบของเราเอง และการยอมรับความรับผิดชอบนี้คือหนึ่งในประสบการณ์ที่มีอิสระเสรีที่สุดใน ชีวิต


เนื่องจากความสุขเป็นสภาวะทางจิตใจอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เจาะจงกับบุคคล สิ่งของ หรือสถานการณ์ใดๆ เรามีความสุขได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรามีความสุขได้ทุกสภาวะไม่ว่าแต่งงานแล้ว เป็นหม้าย หย่าร้าง หรือโสด เรามีความสุขได้ไม่ว่าอายุเท่าใด ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ เราสร้างความสุขให้ตัวเองได้ จงยอมรับความจริงนี้ให้ได้แล้วสิ่งนี้จะทำให้เราแข็งแกร่งอย่างมีความสุข

ที่ มา : ตะละแม่วีนัส

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นิทานสนุกสนุก

                                                                             นิทาน
                                                          

                                                                      ใครหนอ



นิทานที่ได้รับความนิยมและเชื่อว่าเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมากที่สุดรวมถึงในประเทศไทยด้วย คงหนีไม่พ้นนิทานอีสป ซึ่งนอกจากจะมีเรื่องราวสนุกสนานแล้วด้านหลังเล่มยังมีคติสอนใจจากเนื้อเรื่อง ด้วยคำว่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
หลายคนนึกสงสัยว่า ใครหนอ ช่างคิดเรื่องราวที่สนุกและแฝงแง่คิดที่ใช้ได้ไม่ล้าสมัยน้
วันนี้มีคำตอบมาเฉลยให้หายสงสัย
"นิทานอีสป" มีต้นกำเนิดอยู่ที่อาณาจักรกรีกโบราณ ซึ่งเจ้าของเรื่องเล่าอันสุดแสนสนุกไม่ใช่นักปราชญ์แต่เป็นทาสที่ไร้การศึกษาแต่เปี่ยมไปด้วยเชาวน์ปัญญาต่างหาก!!!
และชื่อของเขาคือ อีสป ซึ่งเป็นที่มาของชื่อนิทานอีสปนั่น
อีสปเป็นชายผิวสีชาวแอฟริกาที่มีชีวิตอยู่ในนครรัฐกรีกและต้องการทำมาหากินโดยการขายตัวเป็นทาส แต่โชคร้ายที่รูปร่างหน้าตาของเขาไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานที่พิจารณาคนที่มีความสามารถด้านการต่อสู้เป็นหลัก แต่พระเจ้ากลับประทานมันสมองอันเลอเลิศให้แก่อีสปเป็นการตอบแทน เขาจึงหันมาใช้สติปัญญาในการหาเลี้ยงชีพแทนการใช้กำลัง



สุดท้ายแล้วอีสปก็สามารถเอาชนะใจคนกรีกได้ ด้วยการเล่าเรื่องธรรมดาๆ แต่สอดแทรกด้วยปรัชญา แง่คิด และคติสอนใจต่างๆ ซึ่งเมื่อใครได้ฟังก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ อีกทั้งยังนำคติสอนใจที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเองได้ด้วย
ลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องราวจากอีสปก็คือ เขาจะใช้ตัวละครที่เป็นสิงสาราสัตว์ทั่วไป เช่น "หมาป่ากับลูกแกะ, สุนัขกับเงา, ราชสีห์กับหนู" หรือ "สุนัขจิ้งจอกกับกา" เป็นต้น
ความรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำราหรือในระบบการศึกษาเท่านั้น หากเรารู้จักค้นคว้าหาความรู้รอบตัวก็จะเป็นคนฉลาดแบบอีสปได้เหมือนกันนะ





กบกับหนู

หนูเเก่ตัวหนึ่งเดินทางเเรมรอนมาจนถึงลำธารที่ชายป่า หนูต้องการจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามจึงเข้าไปหาเจ้ากบ ตัวน้อยที่ริมลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้าม ลำธาร เเล้วเอ่ยขอให้กบช่วยพาข้ามลำธารด้วย



กบน้อยมองหนูเเล้วปฏิเสธอย่างสุภาพว่า

" โธ่ ฉันน่ะตัวเล็กพอๆ กับท่าน เเล้วจะพาท่านข้ามไปได้ อย่างไรกันล่ะจ๊ะ "

เเต่หนูไม่ยอม กลับอ้างว่าตนเป็นสัตว์ผู้อาวุโสกว่า ถ้ากบ ไม่ช่วยตนก็จะไปป่าวประกาศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้ถึง ความใจดำของกบ



เมื่อถูกขู่เข็ญเช่นนั้น กบจึงต้องจำยอมให้หนูเอาเท้าผูก กับเท้าของตนเเล้วก็พาว่ายข้ามลำธาร เเต่ทว่าพอว่ายไปได้เเค่ครึ่งทางเท่านั้นกบก็เริ่มหมดเเรง

ก่อนที่ทั้งคู่จะจมน้ำตาย เหยี่ยวตัวหนึ่งก็โฉบลงมาจิกเอา ทั้งกบเเละหนูไปกิน

คิดประโยชน์จากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ ย่อมมีเเต่เสียหาย

กวางป่ากับพวงองุ่น


กวางป่าวิ่งไปในเพิงองุ่นเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่า ของนายพราน



" ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น "

กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ

เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้นเเต่ไม่พบกวางป่า ก็จึง วิ่งไปอีกทางหนึ่ง



กวางป่าเห็นว่าปลอดภัยเเล้วจึงกัดพวงองุ่นอย่าง เอร็ดอร่อย

" เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย "

ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงว่า

" ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินเจ้าอยู่ดีนั่นเเหละ "
ขณะที่กัดกินพวงองุ่นเอง พรานอีกคนหนึ่งผ่นมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหว อยู่ใต้เพิงองุ่นจึงเล็งธนูยิงใส่กวางป่าทันที
คนไม่รู้บุญคุณคนมักประสพความหายนะ



ชายพเนจรอกตัญญู


ชายสองคนเดินทางพเนจรไปเรื่อยๆ เมื่อพบไม้พุ่มหนึ่ง จึงชวนกันหยุดพักใต้ร่มเงาของพุ่มไม้



ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันที่เเดดร้อนจัด ชายคนหนึ่งเอนตัวลง นอน ใต้เงาไม้พลางเเหงนมองดูพุ่มไม้เเล้วกล่าวว่า



"ไม้พุ่มนี้ไม่มีผลให้เรากินเลยนะ"



อีกคนก็เอ่ยบ้างว่า



"จริงด้วย ไม้พุ่มนี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริงๆ"




                                                          ค้างคาวเลือกพวก


ค้างคาวนั้นถือว่าตนก็มีปีกเหมือนนก เเละก็มีหูเหมือนสัตว์ อื่นทั่วๆ ไป



ดังนั้นเมื่อนกยกพวกไปต่อสู่กับสัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ขอตัวไม่ เข้าข้างฝ่ายใดโดยทำตัวเป็นกลาง



เเต่เมื่อพวกของนกมีท่าทีว่าจะชนะ ค้างคาวก็ประกาศตัว ไปเข้ากับฝ่ายนก



ต่อมาพวกนกจะพลาดท่าเสียทีเเก่สัตว์อื่นๆ ค้างคาวก็ผละ จากนกไปเข้าพวกกับสัตว์อื่นๆ



ต่อมานกต่อสู้จนใกล้จะได้ชัย ค้างคาวก็กลับมาอยู่ข้างฝ่ายพวก นกอีก



เมื่อนกกับสัตว์อื่นๆ ทำสัญญาสงบศึกเเละเป็นมิตรต่อกัน ทั้งสองต่างก็ขับไล่ค้างคาว ไม่ยอมให้เข้าพวกด้วย



ค้างคาวอับอายจึงไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ จะออกจากถ้ำไปหา อาหาร ในตอนกลางคืนเท่านั้น







ผู้ที่ขาดความจริงใจ ไม่มีใครอยากคบหาด้วย

กลอนขำขำ

                                                                       กลอนลดน้ำหนัก

สองผัวเมีย เอากัน อยู่ในห้อง

ทั้งเสียงร้อง เสียงเตียง ดังหนักหนา

จนทำให้ ลูกน้อย ตื่นขึ้นมา

เห็นเต็มตา ว่าทำ อะไรกัน

ถึงตอนเช้า ลูกน้อยถาม เพราะสงสัย

ว่าทำไม แม่ขึ้นนั่ง พ่ออย่างนั้น

ส่วนคุณแม่ บอกลูก แก้ตัวพลัน

ที่แม่นั่ง คุณพ่อนั้น เพื่อลดพุง

คุณพ่อยิ้ม เริงร่า ประทับจิต

ชมความคิด ของเมีย ช่างหัวสูง

ที่ขึ้นนั่ง ทั้งขย่ม เพื่อลดพุง

ช่างหัวสูง จริงหนอ นี่เมียใคร

ลูกจึงพูด มันคงลด ไม่ได้หรอก

ลูกน้อยบอก เพราะว่าลูก เห็นคนใช้

มาเป่าลม ตรงที่แม่ นั่งลงไป

มันจะลด ได้ไง แม่นึกดู



Tags: ลดน้ำหนัก



>

กลอนปวดขี้Posted in กลอนขำๆ
May 22nd, 2009



เมื่อปวดขี้ มีที่ไป คือในส้วม

อย่านั่งบวม หน้าบูดเบี้ยว เยี่ยวเล็ดไหล

ปวดขี้มาก ลำบากตรูด ขมิบไป

อย่าอั้นไว้ เดี๋ยวตดแตก ขี้แหกตาม



>

วิธีท่องจำ ก-ฮ เวอร์ชั่นทันสมัยPosted in กลอนขำๆ
January 16th, 2009



ก.กิ๊ก หาไม่ยาก ไม่ลำบากแค่ม่อไว้

ข.ไข่ ไขหัวใจ ไช้คารมนิยมกัน

ฃ.ขวด ชวนดวดเหล้า เมื่อกิ๊กเราสนิทกัน

ค.ควาย ใช้เรียกกัน เมื่อแฟนท่านเป็นกิ๊กเรา

ฅ.ฅน ค้นหาไป ค้นหาใคร ถูกใจเขา

ฆ.ระฆัง ดังปลุกเร้า ให้ใจเราเส่ากระสั่น

ง.งู อยู่บนหัว มีกันทั่ว ตัวเราท่าน

จ.จูบ จูบเธอนั่น สุดระส่ำ สำราญใจ

ฉ.ฉิ่ง หญิงกิ๊กคู่ เพลินเพลินอยู่ มิสนไข่

ช.ช้าง ช่างประไร เรื่องหัวใจ ไม่เกี่ยวกัน

ซ.โซ่ อย่าเซ่อซ่า แฟนเดินมา พากิ๊กหลบพลัน

ฌ.เฌอ บอกเธอนั่น แค่เพื่อนกัน มิมีไร

ญ.หญิง นั่นโปรดรู้ ผู้ชายเจ้าชู้ พิสูจน์ดูได้

ฎ.ชฎา พาสวมใส่ ต่อหน้าแฟนไซร้ จำต้องใส่ชฎา

ฏ.ปฏัก รักแอบซ่อน สาววัยละอ่อน ร่อนหัวใจมา

ฐ.ฐาน มิพานช้า รากฐานแน่นหนา พาแฟนเชื่อใจ

ฒ.เฒ่า เธอไม่โง่ อุตส่าห์โม้ หลายนาที

ณ.ณรงค์ จงต่อสู้ บอกให้รู้ ให้ชัดเจน

ด.เด็ก ที่เธอเห็น เป็นเพียงเพื่อนโปรดเชื่อที

ต.เต่า เธอไม่โง่ อุตส่าห์โม้ หลายนาที

ธ.ธำรงค์ [...]



>

กลอนความรักPosted in กลอนขำๆ
January 6th, 2009



รัก………. แท้..เป็น………………ตำนาน

รัก………. สิ้นลมปราน..เป็น…….บทประพันธ์

รัก………. ไม่แปรผัน..เป็น………นิยาย

รัก………. จนวันตาย..เป็น………นิทาน

รัก………. ตลอดกาล..เป็น………ละคร

รัก………. อยู่ทุกตอน..เป็น………ละครน้ำเน่า

รัก………. ไม่เคยเก่า..เป็น………จริงช่วงแรก

รัก………. ในความแปลก..เป็น….คำฮิต

รัก………. ด้วยชีวิต..เป็น………..ลิเก

รัก………. ไม่โลเล..เป็น………….ความฝัน

รัก………. เธอนิรันด์..เป็น……….ชื่อเพลง

รัก………. นะตัวเอง..เป็น………..เด็กอมมือ

รัก………. ซื่อสัตย์..เป็น………….คำลวง

รัก………. หมดทรวง..เป็น……….คำติดปาก

รัก………. เธอมาก..เป็น………….คำฮอต

รัก………. เดียวตลอด..เป็น…….. ไปไม่ได้!!!!! 555



Tags: ตำนาน, นิยาย, รัก, ละครน้ำเน่า



>

[กลอน] โทษของสุราPosted in กลอนขำๆ
July 3rd, 2008



อันสุราเมรัย ใครเสพติด

พาชีวิตมืดมน จนฉิบหาย

หนึ่งสินทรัพย์ ของตนนั้น พลันวอดวาย

สองอาจตาย ด้วยทะเลาะ เพราะความเมา

สามเจ็บป่วย ด้วยโรคาพยาธิ

สี่คนตำหนิ นินทาพาอับเฉา

ห้าหน้าด้าน หนักหนาเวลาเมา


 
หกโง่เขลา ปัญญาหด หมดสิ้นเอย



Tags: กลอน, สุรา



>
                          จาก   wwww.google.com.

กลอนต่างต่าง

กลอนสุภาพ เป็นกลอนประเภทหนึ่ง ซึ่งลักษณะคำประพันธ์ของภาษาไทย ที่เรียบเรียงเข้าเป็นคณะ ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบๆ ซึ่งนับได้ว่ากลอนสุภาพเป็นกลอนหลักของกลอนทั้งหมด เพราะเป็นพื้นฐานของกลอนหลายชนิด หากเข้าใจกลอนสุภาพ ก็สามารถเข้าใจกลอนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น








คำประพันธ์ ที่ต่อท้ายว่า "สุภาพ" นับว่าเป็นคำประพันธ์ที่แสดงลักษณะเป็นไทยแท้ ด้วยมีข้อบังคับในเรื่อง "รูปวรรณยุกต์" ในกลอนสุภาพนอกจากมีบังคับเสียงสระเป็นแบบแผนเช่นกลอนปกติแล้ว ยังบังคับรูปวรรณยุกต์เพิ่ม จึงมีข้อจำกัดทั้งรูปและเสียงวรรณยุกต์ [1] เป็นการแสดงไหวพริบปฏิภาณและความแตกฉานในการใช้ภาษาไทยของผู้แต่งให้เด่นชัดยิ่งขึ้น






คำประพันธ์กลอนสุภาพนิยมเล่นกันมากตั้งแต่สมัยอยุธยา จวบจนถึงปัจจุบัน ในต้นรัตนโกสินทร์นั้นงานกลอนสุภาพเด่นชัดในรัชกาลที่ 2 ซึ่งเฟื่องฟูถึงขนาดมีการแข่งขันต่อกลอนสด กลอนกระทู้ ตลอดรัชสมัยมีผลงานออกมามากมาย เช่น กลอนโขน กลอนนิทาน กลอนละคร กลอนตำราวัดโพธิ์ เป็นต้น บทพระราชนิพนธ์เรื่อง เงาะป่า ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ ยังมีกวีท่านอื่นที่มีชื่อเสียง เช่น สุนทรภู่ เป็นต้น และในสมัยรัชกาลที่ 6 ก็มีปราชญ์กวีทางกลอนสุภาพที่สำคัญหลายท่านเช่น
สีแดงแรงฤทธิ์พิสดาร สีเหลืองอลังการงานสร้าง สีเขียวชุ่มช่ำน้ำค้าง สีฟ้าเลือนลางจางไป สีส้มอมเปรี้ยวเสี้ยวสุด สีม่วงทรงทรุดหยุดไหม สีดำกล้ำกลืนฝืนใจ ชมพูสดใสใจดี สีขาวบริสธิ์ผุดผ่อง สีทองจองจำนำหนี น้ำเงินเพลินจิตมิตรมี น้ำตาลหวานฤดีมี


                                                                          ตัวอย่าง
                                     
ฉันเป็นแม่น้ำลำคลอง



หม่นหมองต้องแอบร้องไห้



ขยะลอยฟ่องล่องไป



ทำไมทำฉันเช่น


ยาเสพติดพิษแรงร้าย



ทำลายชาติศาสนา



หากใครหลงผิดติดยา



เหมือนพาชีวิตปลิดปลง



ความรักของแม่ ไม่แพ้รักใจ






แม่นี้สำคัญ สร้างฝันเพื่อแม่











แม่ให้หมดใจ ห่วงใยผูกพันธ์



แม่มีสิ่งไหน แม่ให้สิ่งนั้น




กลอนแปดนั้นถือว่าเป็นขนบกวีนิพนธ์พื้นฐานที่นิยมที่สุดในไทย เหตุเพราะมีฉันทลักษณ์ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน สามารถแสดงอารมณ์ได้หลากหลาย และคนทั่วไปสามารถเข้าถึงเนื้อความได้ไม่ยาก รูปแบบของกลอนแปดที่ถือว่าพัฒนาได้ถึงขีดสุด คือ รูปแบบกลอนแปดของสุนทรภู่ ซึ่งปรับปรุงจากกลอนตลาดทั่วไปที่นิยมเล่นกันมาแต่ก่อน ให้มีความแพรวพราวด้วยสัมผัสในผสมผสานกันไป และขนบดังกล่าวนี้ก็ได้รับการสืบทอดต่อมาในงานกวีนิพนธ์ยุคหลังๆ กระทั่งปัจจุบัน อาทิตัวอย่างข้างบน เป็นการนำเอากลอนแปดมาประพันธ์เป็นบทไหว้ครูที่แสนไพเราะจับใจและมีความหมายที่คมคาย








[แก้] แผน


[แก้] ตัวอย่าง


ใครอยู่ในดวงจิตของศิษย์แก้ว ใครคอยแผ้วทางให้ไปสู่ฝัน


ใครโอบอุ้มศิษย์นี้ทั้งชีวัน ใครหนอจิตแบ่งปันนิรันดร


ใครหนอเฝ้าฟูมฟักรักลูกศิษย์ ใครหนอจิตจดจ่อต่อการสอน


ใครหนอเก่งแกร่งกล้าแต่อาทร ใครหนอป้อนปัญญามาสู่เรา


ใครหนอสอนสั่งสมอบรมให้ ใครหนอใครขบคิดกลัวศิษย์เขลา


ใครดุจดั่งพ่อแม่ดูแลเรา ใครหนอเล่าเรื่องราวกล่าววิชา


ใครคนนั้นคือครูผู้รู้รอบ ผู้ก่อกอปรสร้างฐานการศึกษา


พระคุณท่านศิษย์ซาบซึ้งตรึงวิญญา ขอวันทาเทิดทูนพระคุณครู


— ธรพันธ์ พงศ์เสนียกุล. นครนายก, 2549


หนังสือ การประพันธ์โคลงสี่สุภาพ, กรมศิลปากร, กรุงเทพ, พ.ศ. 2548 หน้า 15