เรื่องสั้น ฉ.๒๔๕๔
“เงาของไมรา”
เหมือนใจ
ใครๆ ในโรงเรียนทั้งครูอาจารย์รวมไปถึงบรรดานักเรียนต่างพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่าไมราเปลี่ยนไป... ทุกคนสังเกตเห็นกิริยาที่กระด้างกระเดื่อง บางครั้งก็ดูก้าวร้าว ขาดสัมมาคารวะที่พึงมี ซ้ำร้ายยังมีทีท่าก๋ากั่นอย่างที่ไมราไม่เคยได้แสดงให้เห็น หลายคนสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะความสะเทือนใจอย่างรุนแรงต่อการจากไปอย่างกะทันหันของดร.เมธาและคุณรื่นรตรี พิทักษ์ธรรม ผู้เป็นบิดามารดาเมื่อสองสามเดือนก่อนก็เป็นได้ เพราะกิริยามารยาทที่งดงาม ความเอาใจใส่ต่อวงสนทนาของบุคคลรอบข้าง เพราะอย่างไรเสีย บารมีของบิดามารดาที่สั่งสมไว้ในฐานะผู้อุปการะคุณกิจกรรมโรงเรียนเสมอมาย่อมคงมีอยู่ ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ไม่ใคร่จะตำหนิหล่อนนัก...ออกจะสงสารและเห็นใจเสียด้วยซ้ำที่เด็กนักเรียนดีเด่นอย่างหล่อนต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้าย หากแต่ไมราก็ดูเหมือนจะเพิกเฉยต่อการยื่นมือช่วยเหลือเพื่อหวังบำบัดจิตใจจากอาจารย์ หลายคนรำคาญ...แต่อีกหลายคนก็พร้อมจะให้เวลาแก่หล่อนมากกว่านี้
เด็กสาวทะนงตนเสมอว่าไม่มีใครที่จะกล้าแตะต้องหล่อน ในเมื่อหล่อนคือไมรา พิทักษ์ธรรม ที่ทุกคนเกรงอยู่วันยังค่ำ!
ใครที่ได้รู้จักไมราก็ล้วนรักหล่อน...
เพราะไม่เพียงแต่ไมราจะประพฤติตนสมกับฐานะของนักเรียนระดับมัธยมปลายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว หล่อนยังมีรูปโฉมที่งดงามสมวัย...ผิวแก้มนวลปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ...ดวงตากลมโตมีสีเหลือบน้ำตาลประกายวาววาม...จมูกเรียวแหลมปลายรั้นเล็กน้อยวางอยู่เหนือริมฝีปากอิ่มเต็มที่มีสีแดงฉ่ำอยู่เป็นนิจ...ผมยาวเนียนสีดำขลับถูกผูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย
เด็กหนุ่มในโรงเรียนหลายคนต่างต้องเหลียวหลัง บางครั้งอาจสะเทิ้นอายจนแทบลงไปนั่งกอบกับพื้นเสียทุกคราวที่หล่อนเดินผ่าน...หล่อนคนมีท่าทีจริงจัง คล้ายจะเกี้ยวพาราสีโดยแจ้ง แต่ไมราก็นิ่งเฉยเสีย...ไม่เคยแสดงกิริยาใดที่ไม่งามให้ถูกติฉินได้ ทั้งยังคงวางตนอยู่ในฐานะที่สมควร...ในฐานะที่เป็นลูกสาวของดร.เมธาและคุณรื่นรตี พิทักษ์ธรรม ผู้ที่ทุกคนในโรงเรียนต้องรู้จัก
แม้ไมราจะไม่แสดงออกด้วยสายตาดูถูกผู้ใด แต่หล่อนก็สำนึกเสมอว่า หล่อนเป็นดั่งดอกฟ้า ส่วนบรรดาเด็กหนุ่มที่รายล้อมนั้นย่อมไม่พ้นที่จะเป็นหมาวัด
บ้านของไมราเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ตั้งอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนอยู่อักโข ทั้งยังอยู่โดดเดี่ยวบนเนินกว้าง...ห่างไกลชนิดที่ว่าต้องอาศัยรถส่วนตัวเท่านั้นจึงจะเข้าถึง
บ้านหลังใหญ่ หากเป็นที่พำนักของเพียง ๔ ชีวิต...คุณพ่อ คุณแม่ ไมรา และ มารี
มารีเป็นน้องสาวฝาแฝดของไมรา...ไมรากับมารีใบหน้าที่เหมือนกันราวกับยืนมองดูตัวเองจากเงาสะท้อนของกระจก หากแต่หล่อนกลับไม่ได้คุ้นเคยวิสาสะกับน้องสาวเช่นที่ควรเป็นอย่างสิ้นเชิง
ตั้งแต่ไมราจำความได้ หล่อนกับมารีแทบจะนับครั้งที่พบหน้าและสนทนากันได้ มารีเป็นคนที่มีบุคลิกแตกต่างจากไมราอย่างสุดขั้ว หล่อนพูดจาไม่คล่องจนคู่สนทนาอาจจะพาลอึดอัด นานๆ ครั้งจึงจะได้เห็นรอยยิ้มจากหล่อนสักที
การถูกกักอยู่ในห้องนอนชั้นบนเพียงลำพังตลอดมาของมารี ยิ่งแยกหล่อนให้ห่างไกลจากไมราและคนอื่นๆ จนไมราเองก็แทบไม่รู้จักน้องสาว ยิ่งคนข้างนอกยิ่งไม่มีใครรู้จักมารี!
ไมราเคยนึกสงสารน้อง...แต่พ่อกับแม่ก็บอกทุกครั้งว่า
“มารีเกิดมาก็ไม่สบายน่ะลูก แกไม่สามารถจะไปคลุกคลีกับใคร ไม่สามารถจะไปเจออากาศภายนอก เพราะร่างกายของแกติดเชื้อได้ง่าย การอยู่ในห้องปลอกเชื้อตลอดเวลาจึงปลอกภัยต่อชีวิตแกที่สุด”
แต่ไมราก็เคยสงสัย...ทำไมพ่อกับแม่ก็ไม่เคยบอกใครว่ามีลูกสาวสองคน ทุกครั้งที่ไมราถูกแนะนำก็ในฐานะลูกสาวโทนของพ่อแม่ ข้อนี้พ่อกับแม่บอกว่า
“ในเมื่อมารีไม่อาจออกไปพบปะใคร พ่อก็ไม่อยากให้ใครรู้จักแก เพราะเดี๋ยวจะเกิดการเปรียบเทียบ ทุกคนจะต้องสงสารมารีและอาจจะพูดให้มารีรู้สึกเสียใจที่ต้องอยู่คนเดียวมากขึ้น”
ด้วยเหตุนี้ พ่อกับแม่จึงสร้างโลกของมารีขึ้นมาใหม่...เป็นโลกส่วนตัวที่มีเพียงตัวหล่อน พ่อ แม่ และพี่สาว ไร้ซึ่งเพื่อนหรือคนรู้จัก...ไม่ได้รับรู้ข่าวสารใดๆ ...อยู่ในโลกที่เหมือนสร้างไว้อย่างสำเร็จสมบูรณ์แล้ว...พ่อบอกว่าชีวิตของมารีเป็นของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานมาและทรงลิขิตชีวิตไว้โดยเรียบร้อยแล้ว...น้องสาวของไมราจึงมีชื่อว่า “มารี”
และเพราะความคิดเช่นนี้ ไมราจึงไม่แปลกใจที่พ่อจะดุคนรับใช้สูงอายุคนหนึ่งที่จ้างไว้แบบเช้าไปเย็นกลับทุกครั้งที่ทางทำทีสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ให้นางเยื้องกรายขึ้นชั้นบน
ไมราคิดอยู่เสมอว่าเป็นวิธีการที่โหดร้ายมากสำหรับชีวิตหนึ่งที่ถือกำเนิดมา...แต่หล่อนก็ไม่รู้จะช่วยน้องสาวได้อย่างไร ในเมื่อพ่อกำชับเสมอว่า
“อย่าคิดให้น้องออกมาหรือให้ใครพบเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะน้องอาจจะตายได้ง่ายๆ ลูกคงไม่อยากให้น้องตายใช่ไหม?”
มารีเป็นน้องของไมรา...มีหรือที่ไมราจะอยากให้น้องตาย
แต่ดร.เมธาและคุณรื่นรตีคงไม่ทันนึกว่าตนเองจะมีชีวิตที่สั้นนัก...
ทั้งสองจึงไม่เคยแนะแนวทางใดๆ แก่ไมราเลยว่า เมื่อสิ้นพ่อกับแม่ไปแล้ว ไมราจะจัดการกับชีวิตน้องสาวของหล่อนอย่างไร
ไมราเองจึงแทบจะสิ้นสติเมื่อได้รับทราบข่าวว่าพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุขับรถตกไหล่เขา...เสียชีวิตในทันทีทั้งคู่
ไมรามืดแปดด้าน...ทำอะไรไม่ถูก เพราะหล่อนไม่มีญาติคนไหนหลงเหลือ...ยังดีที่ว่าดร.เมธาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ในฐานะที่เคยประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาไม่น้อย บวกกับเป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนของหล่อน พิธีฝังศพจึงผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือของพวกเขาเหล่านั้น
ถึงแม้ไมราจะทำอะไรไม่ถูก แต่ที่หล่อนจำได้ชัดนักก็คือเรื่องของมารี...
ไมราจึงยังคงปิดเรื่องนี้อย่างมิดชิด...หล่อนพอรู้ในเรื่องพื้นๆ เช่นว่า มารีต้องกินอะไร หล่อนก็จัดให้ตามนั้น กิจกรรมอื่นๆ ดูเหมือนมารีจะจัดการได้ด้วยตัวเองในห้องของหล่อน
จนเมื่อวันหนึ่งที่มารีเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันอยากออกไปข้างนอกบ้าง...ข้างนอกมีอะไร?”
ไมราอึกอัก
“ออกไปไม่ได้หรอก ข้างนอกมันอันตรายต่อมารีมาก แล้วจริงๆ แล้วข้างนอกก็ไม่เห็นมีอะไร”
ไมราปด แต่ก็เพียงไม่กี่ครั้ง เพราะเมื่อถูกรบเร้าเข้าบ่อยๆ หล่อนก็ชักจะตอบไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อมารีบอกเล่าบางอย่างให้ฟัง...ที่ทำให้ไมราถึงกับชาวาบไปทั้งตัว
“รู้ไหม ทำไมพ่อกับแม่ไม่ให้เราออกไป ไม่ใช่เพราะเราเป็นโรคอะไรหรอก แต่เพราะพ่อกับแม่เกลียดเรา เขาพูดเสมอว่าเราไม่ใช่ลูกเขา แต่เป็นลูกของพระเจ้า สักวันเราก็ต้องกลับไปเป็นของพระเจ้าในไม่ช้า”
ไมราคิดว่ามารีโกหก...แต่ก็มองหาเหตุผลที่หล่อนจะต้องโกหกไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นเหตุในการกระทำของพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน
“ไมรา...ให้เราออกไปเถอะนะ อยู่แต่ในบ้านก็ยังดี เราไม่เป็นอะไรจริงๆ ...เชื่อเราเถอะ”
น้ำเสียงออดอ้อนผสานกันบแววตาเว้าวอนของมารีทำให้ความสงสารที่มีอยู่เป็นทุนเดิมในใจเราเพิ่มมากขึ้น หล่อนจึงตัดสินใจอนุญาตให้มารีออกมาเดินเล่นได้ แต่ก็ให้อยู่เฉพาะชั้นบน
ไมราออกจะแปลกใจที่มารีไม่มีอะไรต่างจากหล่อนเลย...มารีเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีความจำเป็นเลิศ เพียงหล่อนติดตามดูรายการโทรทัศน์ไม่กี่ครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้โดยง่ายไปเสียหมด ที่สำคัญคือไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติใดๆ ต่อสภาพแวดล้อมภายนอกแม้สักนิด ผิดไปจากที่พ่อบอกไว้จริงๆ
แต่ไมราก็ไม่รู้ว่า...การตัดสินใจของหล่อนครั้งนั้น มันทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว!
หมู่นี้ ไมราชอบเดินบิดสะโพกไปมาจนเกินพอดี บางครั้งก็เคี้ยวหมากฝรั่งหงับๆ ในปาก แล้วก็บ้วนทิ้งเรี่ยราดเสียอย่างนั้น สายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมายังหล่อนดูจะไม่สร้างความหนักใจให้แม้แต่น้อย...
ไมรารู้สึกมีความสุขที่สุดในโลกที่ได้ทำตัวหยาบกระด้างเสียบ้าง...นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังไม่ตาย หล่อนคงไม่มีโอกาสได้ทำตัวอย่างนี้ หรือถ้าทั้งสองยังอยู่ก็คงช็อคตายแทนเป็นแน่
ไมราไม่รู้จักถูก รู้จักผิด เหมือนหล่อนปราศจากหัวใจที่มีเลือดเนื้อ หล่อนไม่รู้สึกรู้สมกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง ใครจะเป็นเช่นไรก็ช่าง...หล่อนมีความสุขก็เป็นพอ
หล่อนยินดีกับชะตาของตนในวันนี้ และสาปแช่งเวลาที่ผ่านไปในชีวิต...รวมทั้งสาปแช่งพ่อแม่ไปถึงปรโลก ในเมื่อพ่อกับแม่ไม่เคยรักหล่อนเลยสักนิดเดียว
ที่เขาบออกกันว่าหล่อนเปลี่ยนไปเพราะพ่อกับแม่ตายอย่างกระทันหัน จนหล่อนสะเทือนใจอย่างหนักนั้น...ไมราจึงรู้แก่ใจว่าไม่ใช่
ไมราไม่เคยเปลี่ยนไปเพราะนี่แหละคือไมราตัวจริง...ใครจะไปเหมือนมารีที่ขังตัวอยู่ในห้องนั่นล่ะ นั่นมันเป็นน้องสาวของไมราที่สติไม่สมประกอบ ขังมันไว้อย่างนั้นแหละดีแล้ว...ความจริงก็ไม่มีใครรู้ว่ามีคนชื่อมารีอยู่ในโลกนี้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ...และความจริงก็คือไมราไม่นึกอยากมีฝาแฝดสักหน่อย
หล่อนไม่อยากมีคนที่เหมือนกับหล่อนราวกับส่องดูเงาตัวเองจากกระจก...ไม่อยากมีแม้แต่เงาที่พาดเป็นทางยามเมื่อแสงแดดส่องผ่าน...หากต้องอยู่ในมุมมืด...มองไม่เห็นเงาของของตัวเอง...ไมราก็ยินดี!
วันนี้...ไมราจึงขอมีความสุขให้สมใจ บาปกรรมที่พ่อกับแม่เคยทำไว้ หล่อนจะไม่ขอจดจำ และก็ไม่ขอสำนึกถึงบุญคุณที่เขาสร้างชีวิตหล่อนขึ้นมาด้วย...
ถึงแม้เขาจะสร้างชีวิตหล่อนขึ้นมาจริงๆ ก็ตามเถิด!
กระนั้น ไมราก็ยังขอบุณพ่อที่อุตส่าห์เหลือสมุดบันทึกไว้ให้หล่อนได้อ่าน...ให้หล่อนได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว “กำพืด” ของตนเองเป็นอย่างไร
กำพืดที่ว่า...หล่อนไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่...
และหล่อนไม่ได้เป็นมนุษย์...
หากแต่เป็นโคลนนิ่ง!
พ่อโคลนหล่อนขึ้นมาเพื่อเก็บอวัยวะไว้ให้ลูกสาวคนเดียวของเขาได้ใช้ยามที่จำเป็น!
แต่ไมราก็คิดว่าหล่อนยังพอมีความกตัญญู...ไมราจึงทำตามคำสั่งของพ่อ...อย่าให้มารีออกมาภายนอก เพราะข้างนอกมันอันตรายต่อชีวิตของมารี...มารีอยู่ในห้องนั้นแหละดีที่สุดแล้ว
ส่วนข้างนอกนี้...ปล่อยให้เป็นอาณาจักของลูกสาวคนเดียวของพ่อที่ชื่อไมรา พิทักษ์ธรรม คนนี้ก็แล้วกัน
มารีคิด...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น