โค้ดเพลงแต่ง Hi5, MV มิวสิควิดีโอ คลิกที่นี่
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
ลมเปลี่ยนฤดู
เรื่องสั้น ฉ.๒๔๒๑
ลมเปลี่ยนฤดู
อุรุดา โควินท์
ก่อนก้าวเท้าผ่านประตูรั้ว แพรวาตั้งสติด้วยการหายใจเข้ายาวๆ กักลมหายใจไว้ในช่องท้องแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้า ช้า...หล่อนเตรียมรับสถานการณ์ตึงเครียด ซึ่งมักเกิดขึ้นแทบทุกครั้งเมื่อเดินทางมา
บ้านชั้นเดียวสีขาว คล้ายจะซ่อนตัวในสวนร่มรื่น อย่างกับสาวน้อยผู้เอียงอายเพราะอ่อนเดียงสาต่อโลก บ้านหลังใหญ่เพียงพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายนี้ คือบ้านที่แพรวาถือกำเนิด เติบโตและเรียนรู้ความเป็นไปในชีวิต...
“จะเอายังไงอีกแพร กว่าจะฝากงานให้แกได้ ฉันต้องบากหน้าไปขอร้องคนอื่นเขา ฉันหวังดีกับแกนะ”
“แต่แพรไม่ชอบงานนี้นี่ แพรหางานได้แล้ว ให้แพรไปทำเถอะค่ะ”
“แกไม่ชอบงาน หรือไม่อยากอยู่กับฉันกันแน่”
แพรวาจดจำเหตุการณ์ที่จบลงด้วยน้ำตาของแม่ได้ดี หล่อนไม่ได้โต้เถียงรุนแรง แต่ยืนกรานว่าจะเดินทางไปทำงานจังหวัดอื่น ห่างจากบ้าน ๓ ชั่วโมง ด้วยการเดินทางโดยรถยนต์
“มันเป็นงานที่ใฝ่ฝันมานาน ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ” แพรวาชี้แจงเหตุผลสั้นๆ
ยังมีเหตุผลที่สำคัญกว่า หล่อนได้แต่เก็บงำเอาไว้ในใจ...กระนั้น ผู้เป็นแม่ยังล่วงรู้ด้วยสัญชาตญาณ
“แกไม่อยากอยู่กับฉัน เหมือนพ่อของแก” น้ำตาแม่รินเป็นทาง
แพรวาไม่แน่ใจ ว่าเป็นน้ำตาของความเคียดแค้น หรือความน้อยใจ
ต้นเฟื่องฟ้าหน้าบ้านแทงยอดใหม่หลายยอด ทำให้เสียงรูปทรงที่แพรวาเคยเฝ้าจัดแต่ง ทั้งงามแต่ใบ ไม่ยอมออกดอกให้เชยชม เพราะรดน้ำมากไป หล่อนยืนมองต้นไม้ด้วยความหงุดหงิด เคยบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าให้น้ำเฟื่องฟ้ามาก แล้วยังกล้วยไม้ในโรงข้างบ้านนั่นอีก ไม่มีใครให้ปุ๋ยให้ยา ดูทรุดโทรมไม่งามเหมือนเดิม
“แกก็กลับมาดูบ่อยๆ สิ อะไรกันอยู่ใกล้แค่นี้ กว่าจะกลับบ้านแต่ละที ต้องโทร.ไปอ้อนวอน”
แม่คงพูดเช่นนี้ หากแพรวาเอ่ยถึงต้นไม้...จริงดังแม่ว่า หล่อนเองเป็นฝ่ายจากไป ทั้งที่ยังรัก ยังห่วงใย
หัวจิตหัวใจคนมันซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งรักและห่วงใย แต่ทำไมยังไม่พอ
“แม่จ๋า ลูกกลับมาแล้ว คิดถึงจัง” แพรวาร้องตะโกนในใจ บ่อยครั้งอยากเอื้อยเอ่ยให้แม่ได้ยิน แต่ช่างยากเย็นนัก
ประตูกระจกหน้าบ้านฝืดและหนัก แพรวาต้องใช้สองมือออกแรงเลื่อน พยายามให้นิ่มนวลที่สุด ยังวายเกิดเสียงดัง ปัง! เมื่อประตูกระแทกผนัง
“ค่อยๆ เปิดหน่อยไม่ได้หรือไงยะ หลานตื่นเลยเห็นมั้ย...แกก็เหลือเกิน หลานเกิดมาจนจะ ๓ เดือน เพิ่งโผล่หน้ามาดู นี่ถ้าไม่ให้น้องโทร.ไป แกจะมามั้ย”
แพรวนับ ๑ ถึง ๓ ในใจ แล้วบังคับเสียงให้ปกติ “แพรไม่คอยมีเวลาค่ะ”
“ไม่มีเวลาเทียว หรือเวลาทำงานล่ะ” ผู้เป็นแม่ประชดประชัน แพรวาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้ง...เหตุใดหล่อนจึงไม่อาจทำใจให้คุณชิน?
แพรวาวางกระเป๋าเดินทาง นั่งพิศใบหน้ากลม คางยุ้ย ซึ่งยามนี้บิดเบี้ยวเพราะร้องไห้งอแง เจ้าหลานชายตัวน้อย...ชีวิตใหม่ที่เกิดจากน้องสาวของหล่อน
ดวงตาเล็ก ใสบริสุทธิ์ ราวหยาดน้ำค้าง แขนอ้วนป้อมสองข้างชูขึ้น คล้ายกำลังโหยหาอ้อมกอดอบอุ่น แพรวาค่อยๆ วางนิ้วลงบนฝ่ามือน้อย ขาวสะอาด รู้สึกถึงความนวลเนียนยิ่งกว่าสัมผัส
“ตายแล้ว เล็บยางอย่างนั้น อุ้มหลานได้ยังไง มานี่ ฉันอุ้มเอง” ผู้เป็นแม่โวยวาย เมื่อเห็นแพรวาทำท่าจะอุ้มหลาน
แพรวายกมือขวาขึ้นมาดูเล็บยาว สีน้ำตาลปนส้ม ที่หล่อนคอยตะไบให้เข้ารูปและหมั่นเปลี่ยนสีให้เข้ากับเสื้อผ้า
“งั้นไปอาบน้ำดีกว่า” แพรวายักไหล่ แล้วหิ้วกระเป๋าเดินเข้าห้องนอนเดิมของหล่อน
ผู้เป็นแม่มองตามอย่างอิดหนาระอาใจ ลูกสาวคนโตของหล่อนยังไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หล่อนทั้งเป็นห่วง และคิดถึง ลูกผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ไกลบ้านอย่างนั้น...แต่จะทำอย่างไรได้ เคยห้าม เคยปราม ก็ไม่เป็นผล ได้แต่โทษตัวเองที่เลี้ยงลูกไม่เป็น
หล่อนมีลูกสาวสองคน วัยไล่เลี่ยกัน แพรวากับใยไหม ทั้งสองเติบโตเป็นหญิงสาวคนละแบบ ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย นอกเสียจากความดื้อรั้น เอาแต่ใจ
“คือความเป็นตัวของตัวเอง” ลูกสาวทั้งสองว่าอย่างนั้น
“เจ้าตัวเล็กนี่ล่ะ ดื้อรึเปล่า ไม่ดื้อเนอะ หลานยาย” หล่อนกระชับอ้อมแขนที่อุ้มหลานให้แน่นขึ้น หอมแก้มฟอดใหญ่
“หน้าเหมือนใครหว่า” หล่อนถามตัวเอง แต่แล้วก็ได้คำตอบเดิมทุกครั้ง
“เหมือนแม่มันนะสิ จะเหมือนใคร”
หลานยายคนแรก ทำให้ชีวิตวัยห้าสิบกว่าของหล่อนมีชีวิตชีวาขึ้น หลังจากใยไหมลูกสาวคนเล็กออกเรือน หล่อนก็อยู่เพียงลำพังกับคนใช้เก่าแก่ บ้านหลังใหญ่ดูเหมือนใหญ่และกว้างขึ้นทุกวัน มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่าง และความเงียบ
หล่อนเคยปวดหัวกับเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง ระหว่างลูกสาวทั้งสอง อุปนิสัยที่แตกต่างบวกกับความดื้อรั้น ทำให้ลูกสาวไม่ค่อยลงรอยกัน ยังรวมถึงตัวหล่อนเองด้วย
หล่อนเคยเอื้อมระอากับความประพฤตินอกลู่นอกทาง ไม่ได้ดั่งใจของลูกๆ ซึ่งสร้างความผิดหวังให้หล่อนครั้งแล้ว ครั้งเล่า
ช่างประหลาดเสียจริง หล่อนกลับหวนระลึกถึงคืนวันเหล่านั้นบ่อยครั้ง และร่ำร้องให้หวนคืน
มันคงดีกว่า ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว
“โอ๋ เดี๋ยวแม่ก็กลับถูก แม่ไปธุระน่ะ” หล่อนปลอบหลานชาย ผิวกายของเด็กทารกชวนให้นึกถึงวันแรกของการเป็นแม่ หล่อนปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาไหล เมื่อรู้ว่าได้ลูกสาวสมใจ และยินดีเป็นสองเท่า เมื่อได้ลูกสาวอีกคนในสองปีถัดมา
แพรวากับใยไหม เป็นเด็กสดใสร่าเริง ช่างประจบ ใครต่อใครต่างเอ็นดูรักใคร่ โดยเฉพาะแพรวา ผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับพ่อ จึงเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา...
ไม่คิดเลย เพราะผู้หญิงคนเดียว เขาทิ้งทั้งลูก ทั้งเมีย ได้ลงคอ
หล่อนนึกภาพสามีหิ้วกระเป๋าใหญ่เดินออกจากบ้าน มีลูกสาววัยรุ่นสองคนมองตามด้วยดวงตาฉ่ำชื้น...
เขาทำได้อย่างไร?
เวลาผ่านพ้นสิบกว่าปี หล่อนไม่เคยลืมเลือนความทรงจำอันปวดร้าวนั้นได้
“แม่ ลูกไหมเป็นยังไงบ้าง” ใยไหมร้องถาม ตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงประตู ห่างกันเพียงแค่นี้ หล่อนเป็นห่วงลูกน้อยแทบขาดใจ
“ร้องไห้รึเปล่าแม่” ใยไหมรับตัวลูกชายมาอุ้ม
“งอแงนิดหน่อย คงหิวนมน่ะ”
“เดี๋ยวกินนมก็หลับนะจ๊ะ ลูกแม่เลี้ยงง่ายจะตายไป” ใยไหมทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับลูกชาย
“เลี้ยงง่ายกว่าแกเยอะเลย” สายตาที่มองหลานชายและลูกสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา
ใยไหมไม่ได้เห็นสายตาเช่นนี้มานานเต็มที นับแต่พ่อจากไป ใยไหมเคยคิดว่าความปวดร้าวที่พ่อให้ไว้ ทำลายศรัทธาต่อความรักของแม่จนหมดสิ้น
ใยไหมเพิ่งรู้ว่าหล่อนผิด คิดผิดมาตลอด
“ความรักมันไม่ยั่งยืนหรอกนะไหม เลือกคนที่จะดูแลแกได้ดีกว่า” แม่พร่ำสอนตั้งแต่ใยไหมเริ่มคบเพื่อนชาย เริ่มมีความรัก
ผู้ชายที่หล่อนเลือกด้วยหัวใจ จึงไม่ใช่คนที่แม่ยอมรับ
“ดูพ่อแกเป็นตัวอย่างเถิดนะ พอหมดรักแล้วเป็นยังไง ไม่เคยเหลียวแลลูก - เมีย ถ้าฉันไม่มีสมบัติของตา คงเลี้ยงพวกแกไม่ได้อย่างนี้หรอก”
ทั้งหว่านล้อม ทั้งดุด่า ใยไหมยังยืนยันคำเดิม หล่อนจะแต่งงานกับชายคนรัก
“จนกรอบอย่างนั้น อีกหน่อยมันทิ้งแกจะทำยังไงฮึ” นี่คือเหตุผลสำคัญของแม่
“ไหมจะแต่งงานกับคนที่ไหมรักเท่านั้น” มันคือเหตุผลของหล่อน
ข้อขัดแย้งครานั้นยุติลง เพราะคำถามของใยไหม
“ทำไมแม่ถึงให้คุณค่าของเงินมากกว่าความรัก?”
เสียงแก้วน้ำแตกกระจายบนพื้น คือคำตอบจากแม่
“มาแล้วเหรอ คุณแม่คนใหม่” แพรวาปรากฏตัวต่อหน้าน้องสาวพร้อมกลิ่นกายหอมกรุ่น และอารมณ์แจ่มใส หลังจากอาบน้ำนานเกือบชั่วโมง ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวของหล่อน
“เห็นหลานรึยัง” ใยไหมเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงหวานเจือความภาคภูมิ ขณะอุ้มลูกชายเดินวนรอบห้องช้าๆ
แพรวาเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของน้องสาวอย่างละเอียดลออ ราวกับนางฟ้ากำลังร่ายรำ...หล่อนเห็นเช่นนั้น
ดวงหน้าของใยไหมปราศจากเครื่องสำอางใด หากผุดผ่อง สดใน เรือนร่างที่เคยผอมบาง กลับมีทรวดทรงขึ้น ดูมีน้ำมีนวลผิดตา ดวงตาเรียวนั้นเล่า...เปล่งประกายดุจเดียวกับเพชรเม็ดงามยามต้องแสงไฟ
“แพรวาไม่เคยเห็นความสะสวยของน้องสาวมาก่อน จนกระทั่งวันนี้ ใยไหมดูงดงาม หมดจด และอ่อนหวานยิ่งนัก...แพรวาเห็นด้วยความรู้สึก มิใช่สายตา
อย่างกับว่า น้องสาวที่ดื้อรั้น แข็งกระด้าง เด็ดเดี่ยวเหมือนผู้ชายได้จากหล่อนไปแล้ว เหลือเพียงหญิงสาวอ่อนโยนตรงหน้า
“เลี้ยงยากมั้ย” แพรวถาม
“ไม่หรอก ลองอุ้มดูสิ” ใยไหมก้าวเข้ามาชิดตัวพี่สาว แล้วค่อยๆ ส่งเด็กน้อยสู่อีกอ้อมแขนหนึ่ง
ใยไหมหัวเราะท่าทางเก้ๆ กังของพี่สาว ยิ่งแพรวาพยายามมากเท่าไร เจ้าหลานชายก็ยิ่งดิ้นมากขึ้น
“โอ๋ ป้าอุ้มหนูไม่เป็น เลยอึดอัดสินะ มา มา แม่จะช่วย” ใยไหมช่วยวางมือทั้งสองของพี่สาวให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
“อยู่กับป้านะ ให้แม่เค้าพักบ้าง” แพรวารู้สึกประดักประเดิกกับคำว่า ป้า มันทำให้หล่อนรู้สึกแก่ขึ้นมาก
“แต่เจ้าตัวเล็กนี่ช่างน่ากอดนัก น่ารักน่าชัง เหมือนใครก็ไม่รู้” แพรวารำพึงในความรู้สึก
“อุ้มดีๆ สิแพร อย่ารัด หลานจะอึดอัด” ผู้เป็นยายร้องลั่น ทันทีที่เห็นหลานชายอยู่ในอ้อมแขนลูกสาวคนโต
“แล้วเล็บยาว...”
ยังไม่ทันรอให้แม่พูดจบ แพรวาชิงตอบเสียก่อน
“แพรตัดเล็บแล้ว ตอนอาบน้ำ”
หล่อนแย้มยิ้มจากจิตใจอันเบิกบาน ไม่บ่อยนักที่ลูกสาวสองคนจะอยู่พร้อมหน้า แถมยังกลมเกลียวผิดปกติ โดยเฉพาะแพรวา ถึงกับลงทุนตัดเล็บที่เจ้าตัวหวงนักหนา ผิดวิสัยถือดีและชอบเอาชนะ ซึ่งติดตัวมานาน จนแก้ไม่หาย
“เป็นเพราะหลานยายแท้เชียว” หล่อนครุ่นคำนึงอย่างเป็นสุข
ยามบ่ายคล้อย สายลมพัดพาไออุ่นมาแทนที่ความเหน็บหนาว บ่มเมล็ดพันธุ์ เพื่อรอการผลิกล้ายามฝนโปรย...แพรวานั่งบนพื้นหญ้าใต้ต้นลิ้นจี่ ปล่อยให้สายลมลูบไล้ผิวกาย หมายจะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่กำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
จากฤดูหนาว เป็นฤดูร้อน เป็นฤดูฝน...หมุนเวียนไม่จบสิ้น
บ้านสีขาวหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในสวนแห่งนี้ เคยมีแต่ฤดูหนาวอันยาวนาน นานเสียจนแพรวาคุ้นกับความหนาว และชินกับความสลัวราง
แพรวาก้มลงมองเล็บลั้นของตัวเอง แล้วยิ้มให้ริ้วแห่งสายลมอย่างเอ็นดู|
“ฤดูกำลังเปลี่ยน” หล่อนบอกตัวเอง
“เงาของไมรา”
เรื่องสั้น ฉ.๒๔๕๔
“เงาของไมรา”
เหมือนใจ
ใครๆ ในโรงเรียนทั้งครูอาจารย์รวมไปถึงบรรดานักเรียนต่างพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่าไมราเปลี่ยนไป... ทุกคนสังเกตเห็นกิริยาที่กระด้างกระเดื่อง บางครั้งก็ดูก้าวร้าว ขาดสัมมาคารวะที่พึงมี ซ้ำร้ายยังมีทีท่าก๋ากั่นอย่างที่ไมราไม่เคยได้แสดงให้เห็น หลายคนสันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะความสะเทือนใจอย่างรุนแรงต่อการจากไปอย่างกะทันหันของดร.เมธาและคุณรื่นรตรี พิทักษ์ธรรม ผู้เป็นบิดามารดาเมื่อสองสามเดือนก่อนก็เป็นได้ เพราะกิริยามารยาทที่งดงาม ความเอาใจใส่ต่อวงสนทนาของบุคคลรอบข้าง เพราะอย่างไรเสีย บารมีของบิดามารดาที่สั่งสมไว้ในฐานะผู้อุปการะคุณกิจกรรมโรงเรียนเสมอมาย่อมคงมีอยู่ ในขณะเดียวกัน คนส่วนใหญ่ไม่ใคร่จะตำหนิหล่อนนัก...ออกจะสงสารและเห็นใจเสียด้วยซ้ำที่เด็กนักเรียนดีเด่นอย่างหล่อนต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้าย หากแต่ไมราก็ดูเหมือนจะเพิกเฉยต่อการยื่นมือช่วยเหลือเพื่อหวังบำบัดจิตใจจากอาจารย์ หลายคนรำคาญ...แต่อีกหลายคนก็พร้อมจะให้เวลาแก่หล่อนมากกว่านี้
เด็กสาวทะนงตนเสมอว่าไม่มีใครที่จะกล้าแตะต้องหล่อน ในเมื่อหล่อนคือไมรา พิทักษ์ธรรม ที่ทุกคนเกรงอยู่วันยังค่ำ!
ใครที่ได้รู้จักไมราก็ล้วนรักหล่อน...
เพราะไม่เพียงแต่ไมราจะประพฤติตนสมกับฐานะของนักเรียนระดับมัธยมปลายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว หล่อนยังมีรูปโฉมที่งดงามสมวัย...ผิวแก้มนวลปลั่งเป็นสีชมพูระเรื่อ...ดวงตากลมโตมีสีเหลือบน้ำตาลประกายวาววาม...จมูกเรียวแหลมปลายรั้นเล็กน้อยวางอยู่เหนือริมฝีปากอิ่มเต็มที่มีสีแดงฉ่ำอยู่เป็นนิจ...ผมยาวเนียนสีดำขลับถูกผูกรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย
เด็กหนุ่มในโรงเรียนหลายคนต่างต้องเหลียวหลัง บางครั้งอาจสะเทิ้นอายจนแทบลงไปนั่งกอบกับพื้นเสียทุกคราวที่หล่อนเดินผ่าน...หล่อนคนมีท่าทีจริงจัง คล้ายจะเกี้ยวพาราสีโดยแจ้ง แต่ไมราก็นิ่งเฉยเสีย...ไม่เคยแสดงกิริยาใดที่ไม่งามให้ถูกติฉินได้ ทั้งยังคงวางตนอยู่ในฐานะที่สมควร...ในฐานะที่เป็นลูกสาวของดร.เมธาและคุณรื่นรตี พิทักษ์ธรรม ผู้ที่ทุกคนในโรงเรียนต้องรู้จัก
แม้ไมราจะไม่แสดงออกด้วยสายตาดูถูกผู้ใด แต่หล่อนก็สำนึกเสมอว่า หล่อนเป็นดั่งดอกฟ้า ส่วนบรรดาเด็กหนุ่มที่รายล้อมนั้นย่อมไม่พ้นที่จะเป็นหมาวัด
บ้านของไมราเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ ตั้งอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนอยู่อักโข ทั้งยังอยู่โดดเดี่ยวบนเนินกว้าง...ห่างไกลชนิดที่ว่าต้องอาศัยรถส่วนตัวเท่านั้นจึงจะเข้าถึง
บ้านหลังใหญ่ หากเป็นที่พำนักของเพียง ๔ ชีวิต...คุณพ่อ คุณแม่ ไมรา และ มารี
มารีเป็นน้องสาวฝาแฝดของไมรา...ไมรากับมารีใบหน้าที่เหมือนกันราวกับยืนมองดูตัวเองจากเงาสะท้อนของกระจก หากแต่หล่อนกลับไม่ได้คุ้นเคยวิสาสะกับน้องสาวเช่นที่ควรเป็นอย่างสิ้นเชิง
ตั้งแต่ไมราจำความได้ หล่อนกับมารีแทบจะนับครั้งที่พบหน้าและสนทนากันได้ มารีเป็นคนที่มีบุคลิกแตกต่างจากไมราอย่างสุดขั้ว หล่อนพูดจาไม่คล่องจนคู่สนทนาอาจจะพาลอึดอัด นานๆ ครั้งจึงจะได้เห็นรอยยิ้มจากหล่อนสักที
การถูกกักอยู่ในห้องนอนชั้นบนเพียงลำพังตลอดมาของมารี ยิ่งแยกหล่อนให้ห่างไกลจากไมราและคนอื่นๆ จนไมราเองก็แทบไม่รู้จักน้องสาว ยิ่งคนข้างนอกยิ่งไม่มีใครรู้จักมารี!
ไมราเคยนึกสงสารน้อง...แต่พ่อกับแม่ก็บอกทุกครั้งว่า
“มารีเกิดมาก็ไม่สบายน่ะลูก แกไม่สามารถจะไปคลุกคลีกับใคร ไม่สามารถจะไปเจออากาศภายนอก เพราะร่างกายของแกติดเชื้อได้ง่าย การอยู่ในห้องปลอกเชื้อตลอดเวลาจึงปลอกภัยต่อชีวิตแกที่สุด”
แต่ไมราก็เคยสงสัย...ทำไมพ่อกับแม่ก็ไม่เคยบอกใครว่ามีลูกสาวสองคน ทุกครั้งที่ไมราถูกแนะนำก็ในฐานะลูกสาวโทนของพ่อแม่ ข้อนี้พ่อกับแม่บอกว่า
“ในเมื่อมารีไม่อาจออกไปพบปะใคร พ่อก็ไม่อยากให้ใครรู้จักแก เพราะเดี๋ยวจะเกิดการเปรียบเทียบ ทุกคนจะต้องสงสารมารีและอาจจะพูดให้มารีรู้สึกเสียใจที่ต้องอยู่คนเดียวมากขึ้น”
ด้วยเหตุนี้ พ่อกับแม่จึงสร้างโลกของมารีขึ้นมาใหม่...เป็นโลกส่วนตัวที่มีเพียงตัวหล่อน พ่อ แม่ และพี่สาว ไร้ซึ่งเพื่อนหรือคนรู้จัก...ไม่ได้รับรู้ข่าวสารใดๆ ...อยู่ในโลกที่เหมือนสร้างไว้อย่างสำเร็จสมบูรณ์แล้ว...พ่อบอกว่าชีวิตของมารีเป็นของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานมาและทรงลิขิตชีวิตไว้โดยเรียบร้อยแล้ว...น้องสาวของไมราจึงมีชื่อว่า “มารี”
และเพราะความคิดเช่นนี้ ไมราจึงไม่แปลกใจที่พ่อจะดุคนรับใช้สูงอายุคนหนึ่งที่จ้างไว้แบบเช้าไปเย็นกลับทุกครั้งที่ทางทำทีสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่ให้นางเยื้องกรายขึ้นชั้นบน
ไมราคิดอยู่เสมอว่าเป็นวิธีการที่โหดร้ายมากสำหรับชีวิตหนึ่งที่ถือกำเนิดมา...แต่หล่อนก็ไม่รู้จะช่วยน้องสาวได้อย่างไร ในเมื่อพ่อกำชับเสมอว่า
“อย่าคิดให้น้องออกมาหรือให้ใครพบเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะน้องอาจจะตายได้ง่ายๆ ลูกคงไม่อยากให้น้องตายใช่ไหม?”
มารีเป็นน้องของไมรา...มีหรือที่ไมราจะอยากให้น้องตาย
แต่ดร.เมธาและคุณรื่นรตีคงไม่ทันนึกว่าตนเองจะมีชีวิตที่สั้นนัก...
ทั้งสองจึงไม่เคยแนะแนวทางใดๆ แก่ไมราเลยว่า เมื่อสิ้นพ่อกับแม่ไปแล้ว ไมราจะจัดการกับชีวิตน้องสาวของหล่อนอย่างไร
ไมราเองจึงแทบจะสิ้นสติเมื่อได้รับทราบข่าวว่าพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุขับรถตกไหล่เขา...เสียชีวิตในทันทีทั้งคู่
ไมรามืดแปดด้าน...ทำอะไรไม่ถูก เพราะหล่อนไม่มีญาติคนไหนหลงเหลือ...ยังดีที่ว่าดร.เมธาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง ในฐานะที่เคยประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาไม่น้อย บวกกับเป็นที่รู้จักกว้างขวางในหมู่ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนของหล่อน พิธีฝังศพจึงผ่านพ้นไปด้วยดีด้วยความช่วยเหลือของพวกเขาเหล่านั้น
ถึงแม้ไมราจะทำอะไรไม่ถูก แต่ที่หล่อนจำได้ชัดนักก็คือเรื่องของมารี...
ไมราจึงยังคงปิดเรื่องนี้อย่างมิดชิด...หล่อนพอรู้ในเรื่องพื้นๆ เช่นว่า มารีต้องกินอะไร หล่อนก็จัดให้ตามนั้น กิจกรรมอื่นๆ ดูเหมือนมารีจะจัดการได้ด้วยตัวเองในห้องของหล่อน
จนเมื่อวันหนึ่งที่มารีเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันอยากออกไปข้างนอกบ้าง...ข้างนอกมีอะไร?”
ไมราอึกอัก
“ออกไปไม่ได้หรอก ข้างนอกมันอันตรายต่อมารีมาก แล้วจริงๆ แล้วข้างนอกก็ไม่เห็นมีอะไร”
ไมราปด แต่ก็เพียงไม่กี่ครั้ง เพราะเมื่อถูกรบเร้าเข้าบ่อยๆ หล่อนก็ชักจะตอบไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อมารีบอกเล่าบางอย่างให้ฟัง...ที่ทำให้ไมราถึงกับชาวาบไปทั้งตัว
“รู้ไหม ทำไมพ่อกับแม่ไม่ให้เราออกไป ไม่ใช่เพราะเราเป็นโรคอะไรหรอก แต่เพราะพ่อกับแม่เกลียดเรา เขาพูดเสมอว่าเราไม่ใช่ลูกเขา แต่เป็นลูกของพระเจ้า สักวันเราก็ต้องกลับไปเป็นของพระเจ้าในไม่ช้า”
ไมราคิดว่ามารีโกหก...แต่ก็มองหาเหตุผลที่หล่อนจะต้องโกหกไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นเหตุในการกระทำของพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน
“ไมรา...ให้เราออกไปเถอะนะ อยู่แต่ในบ้านก็ยังดี เราไม่เป็นอะไรจริงๆ ...เชื่อเราเถอะ”
น้ำเสียงออดอ้อนผสานกันบแววตาเว้าวอนของมารีทำให้ความสงสารที่มีอยู่เป็นทุนเดิมในใจเราเพิ่มมากขึ้น หล่อนจึงตัดสินใจอนุญาตให้มารีออกมาเดินเล่นได้ แต่ก็ให้อยู่เฉพาะชั้นบน
ไมราออกจะแปลกใจที่มารีไม่มีอะไรต่างจากหล่อนเลย...มารีเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีความจำเป็นเลิศ เพียงหล่อนติดตามดูรายการโทรทัศน์ไม่กี่ครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้โดยง่ายไปเสียหมด ที่สำคัญคือไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติใดๆ ต่อสภาพแวดล้อมภายนอกแม้สักนิด ผิดไปจากที่พ่อบอกไว้จริงๆ
แต่ไมราก็ไม่รู้ว่า...การตัดสินใจของหล่อนครั้งนั้น มันทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว!
หมู่นี้ ไมราชอบเดินบิดสะโพกไปมาจนเกินพอดี บางครั้งก็เคี้ยวหมากฝรั่งหงับๆ ในปาก แล้วก็บ้วนทิ้งเรี่ยราดเสียอย่างนั้น สายตาของคนรอบข้างที่จับจ้องมายังหล่อนดูจะไม่สร้างความหนักใจให้แม้แต่น้อย...
ไมรารู้สึกมีความสุขที่สุดในโลกที่ได้ทำตัวหยาบกระด้างเสียบ้าง...นี่ถ้าพ่อกับแม่ยังไม่ตาย หล่อนคงไม่มีโอกาสได้ทำตัวอย่างนี้ หรือถ้าทั้งสองยังอยู่ก็คงช็อคตายแทนเป็นแน่
ไมราไม่รู้จักถูก รู้จักผิด เหมือนหล่อนปราศจากหัวใจที่มีเลือดเนื้อ หล่อนไม่รู้สึกรู้สมกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง ใครจะเป็นเช่นไรก็ช่าง...หล่อนมีความสุขก็เป็นพอ
หล่อนยินดีกับชะตาของตนในวันนี้ และสาปแช่งเวลาที่ผ่านไปในชีวิต...รวมทั้งสาปแช่งพ่อแม่ไปถึงปรโลก ในเมื่อพ่อกับแม่ไม่เคยรักหล่อนเลยสักนิดเดียว
ที่เขาบออกกันว่าหล่อนเปลี่ยนไปเพราะพ่อกับแม่ตายอย่างกระทันหัน จนหล่อนสะเทือนใจอย่างหนักนั้น...ไมราจึงรู้แก่ใจว่าไม่ใช่
ไมราไม่เคยเปลี่ยนไปเพราะนี่แหละคือไมราตัวจริง...ใครจะไปเหมือนมารีที่ขังตัวอยู่ในห้องนั่นล่ะ นั่นมันเป็นน้องสาวของไมราที่สติไม่สมประกอบ ขังมันไว้อย่างนั้นแหละดีแล้ว...ความจริงก็ไม่มีใครรู้ว่ามีคนชื่อมารีอยู่ในโลกนี้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ...และความจริงก็คือไมราไม่นึกอยากมีฝาแฝดสักหน่อย
หล่อนไม่อยากมีคนที่เหมือนกับหล่อนราวกับส่องดูเงาตัวเองจากกระจก...ไม่อยากมีแม้แต่เงาที่พาดเป็นทางยามเมื่อแสงแดดส่องผ่าน...หากต้องอยู่ในมุมมืด...มองไม่เห็นเงาของของตัวเอง...ไมราก็ยินดี!
วันนี้...ไมราจึงขอมีความสุขให้สมใจ บาปกรรมที่พ่อกับแม่เคยทำไว้ หล่อนจะไม่ขอจดจำ และก็ไม่ขอสำนึกถึงบุญคุณที่เขาสร้างชีวิตหล่อนขึ้นมาด้วย...
ถึงแม้เขาจะสร้างชีวิตหล่อนขึ้นมาจริงๆ ก็ตามเถิด!
กระนั้น ไมราก็ยังขอบุณพ่อที่อุตส่าห์เหลือสมุดบันทึกไว้ให้หล่อนได้อ่าน...ให้หล่อนได้รู้ว่า จริงๆ แล้ว “กำพืด” ของตนเองเป็นอย่างไร
กำพืดที่ว่า...หล่อนไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่...
และหล่อนไม่ได้เป็นมนุษย์...
หากแต่เป็นโคลนนิ่ง!
พ่อโคลนหล่อนขึ้นมาเพื่อเก็บอวัยวะไว้ให้ลูกสาวคนเดียวของเขาได้ใช้ยามที่จำเป็น!
แต่ไมราก็คิดว่าหล่อนยังพอมีความกตัญญู...ไมราจึงทำตามคำสั่งของพ่อ...อย่าให้มารีออกมาภายนอก เพราะข้างนอกมันอันตรายต่อชีวิตของมารี...มารีอยู่ในห้องนั้นแหละดีที่สุดแล้ว
ส่วนข้างนอกนี้...ปล่อยให้เป็นอาณาจักของลูกสาวคนเดียวของพ่อที่ชื่อไมรา พิทักษ์ธรรม คนนี้ก็แล้วกัน
มารีคิด...
เรื่องสั้น ฉ.๒๔๑๙
เรื่องสั้น ฉ.๒๔๑๙
ใจดวงหนึ่ง
กานต์ กีรติ
เรือนไม้ขายน้ำสงบนิ่งอยู่ใต้ร่มเงาของประดู่ใหญ่ใบหนาและมวลไม้หลากพันธุ์ทั้งขนม เงาะ มะพร้าว มะม่วง ทุเรียนซึ่งออกดอกออกผลให้เจ้าของบ้านได้พึ่งพาทั้งปากท้องของตนเอง และแบ่งส่วนที่เหลือไปเจือจานญาติสนิทมิตรสหายก่อนจะนำที่ยังพอมีไปขายที่ตลาดเพื่อเป็นรายได้เสริมเล็กๆ น้อยๆ จากรายได้หลักค่าเช่านาที่ต่างจังหวัดซึ่งก็มากเกินพอแล้วสำหรับสองชีวิตที่อยู่กันอย่างสมถะ และมีความรู้สึก “พอ” เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ
ในบางครั้งที่ว่างและมีเวลา ทั้งแม่และลูกสาวก็จะช่วยกันทำขนมทั้งทองหยิบ ทองหยอด ปอยทอง ขนมสอดไส้ ฯลฯ ลงเรือไปขายหลังโรงเรียนในละแวกนั้นก่อนโรงเรียนเล็กในตอนเย็น แต่ชาวบ้านร้านถิ่นที่เคยได้ลิ้มชิมรสขนมของยายยี่สุ่นและพวงแสดผู้เป็นลูกสาวก็มักจะรอคอยโอกาสดีๆ เช่นนี้อยู่เสมอ จึงมีบ่อยครั้งที่ขนมจะหมดก่อนโรงเรียนจะเลิกเรียนเสียด้วยซ้ำ
มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสเคยมาขอให้ทั้งสองทำขนมส่งที่ร้านของตนเป็นประจำโดยอ้างกำไรดอกผลที่งดงามน่าตื่นตาตื่นใจ ทว่าสองแม่ลูกก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพเพราะไม่อยากสร้างข้อผูกมัดและที่สำคัญมิได้เห็นว่ารายได้งามๆ นั้นจะก่อสุขให้กับชีวิตที่สงบและเพียงพอแล้วนี้แต่อย่างใด
ลูกชายสามคนของยายยี่สุ่นได้ร่ำเรียนสูงๆ แต่งงานมีเหย้าเรือนแยกตัวไปอยู่ต่างหาก นานๆ จึงจะกลับมาเยี่ยมเยียนแม่และพี่สาว...และมักจะมากันในช่วงที่มวลไม้ออกลูกออกผลสะพรั่งไปทั้งสวน พวกเขาเก็บกอบกันใส่รถใส่ให้มากที่สุดเท่าที่เนื้อที่ของรถจะบรรจุได้
“จะเอาไปฝากเพื่อนที่ทำงาน”
ทุกคนอ้างเมื่อรู้สึกกระดากขึ้นมาเล็กน้อยเพราะมิไดมีส่วนมาดูดำดูดีเลยแม้แต่น้อย และหากช่วงไหนผลไม้ชนิดใดมีราคาแพง พวกเขาก็จะอ้างถึง “เจ้านาย” “ผู้มีพระคุณ” “ญาติฝ่ายภรรยา” ฯลฯ สารพัดสาพันที่พวกเขาจะเอ่ยอ้างได้ แต่พอมารดาเอ่ยปากว่า
“มาเอาไปขายบ้างก็ได้นี่”
พวกเขาจะทำท่าทีแปลกๆ ราวเดียดฉันท์กับอาชีพที่แม่ออกปากนั้น
“ผมเป็นข้าราชการ เป็นเจ้าหน้าที่บริษัทใหญ่ๆ โตๆ จะทำพิเรนทร์อย่างที่แม่บอกได้ยังไง”
ยายยี่สุ่นสงบปากสงบคำ ทั้งที่รู้สึกสะท้อนใจอยู่ลึกๆ อยากบอกลูกๆ เหลือเกินกว่า ก็อาชีพค้าขายผลหมากรากไม้และค่าเช่านาไม่กี่มากน้อยน่ะแหละที่เลี้ยงพวกเจ้ามาจนโต ได้ร่ำเรียนสูงๆ ได้งานทำที่ดีๆ มีครอบครัวและมีความสุขอยู่ทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามแม่ก็มิได้ต้องการให้ลูกๆ สืบทอดอาชีพคนสวนเหมือนพ่อและแม่รวมทั้งพี่สาวซึ่งเลือกจะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยแม่ทำงานเมื่อพ่อตายจากไปเพื่อส่งเสียน้องชายทั้งสามให้ร่ำเรียนจนเป็นใหญ่เป็นโต
ยายยี่สุ่นดีใจและสุขใจที่ลูกๆ ของเราได้ดีและมีความสุข การมาเยี่ยมเยียนของลูกไม่ว่าจะในลักษณะการเช่นใด แกก็พอใจและรับพฤติกรรมหลากหลายนั้นได้เสมอ
จะมีบ้างก็คือความรู้สึกสะเทือนใจที่แกไม่อาจส่งเสียให้ลูกทุกๆ คนได้ดิบได้ดีเหมือนๆ กัน แต่คราใดที่ยายยี่สุ่นปรารภกับลูกสาว แกก็จะได้คำตอบปลอบโยนกลับมาเสมอ
“หนูสมัครใจลาออกเองนี่แม่...แม่ไม่ได้บังคับหนูสักหน่อย...ตอนนั้นพ่อเสียใหม่ๆ น้องๆ ก็ยังเล็กถ้าหนูไม่ออกมาช่วยแม่ แม่ก็คงไม่ไหวให้น้องๆ เขาเรียนนั่นแหละดีแล้วล่ะจ้า เขาเรียนเก่งๆ กันทั้งนั้น...เราคงพึ่งพาพวกเขาได้ตอนแก่นะแม่นะ...”
ตอนแรกยายยี่สุ่นก็คิดเหมือนลูกสาวแต่วันเวลาและความผันแปรต่างๆ ทำให้แกเริ่มแน่ใจว่าสิ่งที่ลูกสาวและแกเคยคาดหวังไม่มีวันที่จะเป็นไปได้
หลายๆ ครั้งที่แกร่ำๆ จะออกปาฝากฝังลูกสาวคนโตไว้กับน้องๆ แต่พฤติกรรมของลูกชายทั้งสามทำให้แกต้องปิดปากเงียบเก็บงำความรู้สึกทุกข์ท้องกังวลใจและความห่วงใยลูกสาวคนโตไว้แต่เพียงลำพังและเพียงภาวนาให้ลูกสาวได้พบรัก ได้แต่งงานกับคนดีๆ เพื่อว่าวันที่แกต้องลาจากโลกนี้ไปตามวัฎฎจักรของธรรมชาติ แกจะได้นอนตายตาหลับทว่านี่ก็อีกความหวังหนึ่งที่เลือนรางและเป็นไปได้น้อยเต็มที
“หนูไม่ใช่คนสวย ความรู้ก็น้อย ใครเขาจะมาชอบ” ลูกสาวให้เหตุผลด้วยเสียงเรียบๆ มีรอยยิ้มอ่อนๆ บนใบหน้าที่อ้างว่าไม่สวยนั้นบางๆ น้ำเสียงที่พูดไม่ส่อถึงความรู้สึกน้อยใจ สะเทือนใจหรือกระทบกระแทกผู้ใดแต่เป็นพูดของผู้ที่มีจิตใจงามและมีสติอยู่ครบถ้วย “อีกอย่างหนูอยากอยู่กับแม่ไม่อยากแต่งงานออกเรือนไปเลย หนูอยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้วนี่แม่...”
“แต่แม่เป็นห่วงเอ็ง...” ยายยี่สุ่นบอกลูกสาวไปตรงๆ “ถ้าแม่ตายแล้วเอ็งจะอยู่กับใคร เอ็งคิดจะไปพึ่งน้องๆ เขาเหรอ...เอ็งก็รู้นี่ว่าพึ่งพวกเขาได้ยาก”
“จ้ะ...หนูรู้...แต่ไม่เป็นไรหรอก เวลานั้นยังมาไม่ถึง ไว้มาถึงก็คงหาทางออกได้เองแหละ แต่แม่ก็ยังแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรสักหน่อย อย่าเพิ่งพูดเรื่องตงเรื่องตายเลยจ้ะ...”
เมื่อลูกสาวสรุปออกมาในรูปนี้ ยายยี่สุ่นก็ต้องเก็บปากเก็บคำ เก็บความรู้สึกกังวลวิตกทุกข์ร้อนทั้งหมดทั้งมวลไว้ในส่วนลึกอีกเช่นเดิม
ทว่าไม่นานนัก ลูกชายคนโตก็หอบลูกน้อยมาพร้อมกับภรรยา แรกๆ ยายยี่สุ่นกับพวงแสดลูกสาวต่างก็พากันงุนงงกับปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งเช่นนี้ เพราะตั้งแต่มีครอบครัว ลูกชายคนโตมาเยี่ยมเยียนแกและลูกสาวพร้อมภรรยาแทบจะนับครั้งได้ แต่ในคราครั้งนี้เขามาพร้อมลูกชายคนแรก มาด้วยจุดประสงค์ที่ยายยี่สุ่นและลูกสาวพอจะเดาได้ในทันที กระนั้นการต้อนรับขับสู้และความยินดีต่อการมาเยือนโดยเฉพาะสมาชิกใหม่ก็มีอยู่มากโข
“ฉันเอาตาเบิร์ทมาให้แม่กับพี่พวงช่วยเลี้ยงเพราะครบกำหนดวันลางานแม่เขาแล้ว ตอนนี้คนใช้ที่บ้านก็ไม่มีไอ้ที่เคยมีก็อ้างว่ากลับไปเยี่ยมบ้านที่ไหนได้หายหัวไปเลย ดีที่มันไม่แอบฉกเอาของมีค่าไปด้วย...พวกนังคนใช้นี่ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ...” ลูกชายคนโตเล่าอย่างสรูปรวมโดยไม่ยอมแบ่งแยกให้เหลือคนใช้ที่ดีไว้บ้างเลย “ครั้นจะจ้างเขาเลี้ยงก็ไว้ใจใครได้ที่ไหน...ฉันเห็นก็แต่แม่กับพี่พวงนี่แหละที่น่าไว้ใจที่สุด...ช่วยเลี้ยงหลานหน่อยนะแม่...นะพี่พวง...” ตอนท้ายเขาทำเสียงวิงวอนชวนให้น่าเห็นใจ “สายสัมพันธ์จะทิ้งกันยังไงใช่ไหมแม่...เอาเป็นว่าฉันจะให้ค่าเลี้ยงดูเดือนละพัน นม เนย หยูกยาอาหารจะคิดต่างหาก ไว้พอเข้าโรงเรียนหรือฉันหาคนใช้ได้ ฉันจะมารับลูกไป...ตกลงนะแม่...นะพี่พวงนะ...”
มีครั้งไหนบ้างหรือที่ยายยี่สุ่นและลูกสาวจะปฏิเสธการขอร้องของผู้เป็นลูกและน้องได้ แม้ในครั้งนี้จะเป็นภาระที่มิใช่เล็กน้อยเพราะต้องหมายถึงผู้รับภาระจะต้องพร้อมทั้งด้านกำลังกาย กำลังใจ และเวลาซึ่งต้องทุ่มเทให้กับการเลี้ยงเด็กอ่อนที่ไม่มีช่วงให้ผละห่างหรือทอดทิ้งได้เลยแม้แต่เวลาเดียว...
“ถ “ถ้าพันเดียวน้อยไป...ผมให้พันห้าก็ได้”
ลูกชายเสนอทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะต่อรองขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องเงินเรื่องทองน่ะไม่สำคัญหรอก” พี่สาวแย้งขึ้นเบาๆ ในลักษณะมองผู้พูดน้อยไม่มากเรื่องและจำยอมมาโดยตลอด “แต่พวกเธอต้องมาดูแลลูกบ้างไม่ใช่ทิ้งไปเลย”
“โธ่...ใครจะทิ้งได้ลง ลูกทั้งคน เบิร์ดมันก็น่ารัก นี่ถ้าไม่ติดขัดที่ทำงานทั้งสองคน เราคงไม่มารบกวนแม่กับพี่พวงหรอก”
“เออ...ข้ารู้แล้วแหละว่าพวกเอ็งมีปัญหา” ยายยี่สุ่นพูดก่อนจะปรารภว่า “ลูกเอ็งชื่ออะไรนะ...ชื่อฝรั่งมังค่าใช่หรือเปล่า ข้าเรียกไม่ถูกหรอก”
ลูกชายหัวเราะ ดูสีหน้าคลายเครียดและคลายความกังวลลงมากเมื่อรู้ผลของการเจรจาที่เป็นไปในทางบวก
“ชื่อเบิร์ดฮะแม่...เบิร์ดแปลว่านก...”
“งั้นข้าเรียกนกก็แล้วกันนะ...ง่ายกว่าที่เอ็งเรียกตั้งเยอะ”
“ตามใจแม่เถอะ...จะเรียกอะไรก็ช่าง แล้วฉันกับดาจะมาดูแลลูกทุกอาทิตย์นะแม่”
“จะมารับไปนอนคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ก็ได้นี่ ลูกจะได้อยู่กับพ่อแม่บ้าง”
คำแนะนำอย่างหวังดีของยายยี่สุ่นกลับถูกปฏิเสธพัลวัน”
“ไม่ได้หรอกแม่ วันหยุดผมกับดาต้องพักผ่อนเพราะทำงานมาตั้งห้าวันแล้ว ขืนอดตาหลับขับตานอนดูแลลูกทั้งคืนคงไม่ไหว เราแวะมาดูตอนกลางวันดีกว่า หรือหากวันไหนว่าง ผมกับดาก็จะแวบมาหาก็แล้วกัน”
ผู้มาเยือนขอตัวกลับไปแล้วทิ้งไว้แต่ลูกชายวัยหนึ่งเดือนอันเป็นภาระหนักหน่วงที่พวกเขาไม่อาจแบกรับไว้ แต่ไม่มีเลยสักคำที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้คิดถึงภาระหนักหน่วงที่อีกฝ่ายได้รับไปบ้างแต่อย่างใด ค่าจ้างค่าออนเพียงเงินหนึ่งพันห้าร้อยบาทสำหรับการดูแลเด็กอ่อนทั้งวันและทั้งคืนคงไม่อาจหาผู้ใดรับงานนี้ได้อย่างแน่นอน
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะผละไป พวงแสดบอกน้องชายว่า
“เงินพันห้าร้อยบาทที่ให้ พี่จะฝากไว้ให้ตานก ถ้าเกิดเงินขาดมือพี่ค่อยใช้มันก็แล้วกัน”
“แล้วแต่พี่เถอะ เจ้าเบิร์ดมันก็เป็นหลานพี่...พี่ก็ไม่มีครอบครัว...ไม่มีลูก ต่อไปสมบัติพัสถานพี่ก็ยกให้หลานไม่ใช่หรือ...”
ยายยี่สุ่นกับลูกสาวได้แต่นั่งนิ่งงันพูดไม่ออก จนแม้ลูกชายและลูกสะใภ้กลับไปแล้ว ก็ไม่มีคำตำหนิติเตียนหรือคำค่อนขอดจากคนทั้งสอง นอกจากออกอาการทอดถอนใจยาวและเก็บความรู้สึกหลากหลายไว้ภายในอีกเช่นเคย
หนูน้อยหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมกอดของย่าบ้าง ป้าบ้าง ได้รับอาหารดีๆ ที่ป้อนจากมือของย่าและป้าผู้อารี เติบโตมากับเสียงเพลงกล่อมเด็กเอื่อยอ่อนได้ฟังนิทานดีๆ ก่อนนอน ติดสอยห้อยตามย่าและป้าไปตามที่ต่างๆ ความผูกพันระหว่างย่า ป้า และหลานทวีขึ้นทุกวัน...ทุกวัน...ครั้นมาประกอบกับความห่างเหินของพ่อแม่ที่มิได้กระทำตามที่เคยให้สัญญาไว้แต่ตอนแรก เด็กน้อยจึงติดย่าและป้าทบทวี
ในช่วงที่หนูน้อยอายุได้สองขวบ ยายยี่สุ่นก็ล้มเจ็บลงด้วยไข้หวัดธรรมดา แต่เพราะความสูงอายุ และการได้พักผ่อนน้อยทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว พอเกิดโรคปอดบวมแทรกซ้อน แกก็จากโลกนี้ไปอย่างง่ายดายโดยมิได้มีโอกาสร่ำลาลูกและหลานที่แกรักและผูกพันเลยแม้แต่คำเดียว
พวงแสดร้องไห้กับการสูญเสียครั้งนี้น้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด นึกถึงคำพูดของแม่ที่ห่วงใยว่าตนจะอยู่กับใคร หากแกต้องตายจากไป...ตอนนี้พวงแสดได้รับรู้แล้วถึงความมืดมนของคำตอบ เธอเป็นสาวตัวคนเดียว ก็คงจะต้องอยู่คนเดียวแต่ครั้นหันไปเห็นหลานชาย ความหวังของพวงแสดก็ก่อตัวขึ้น ความรัก ความผูกพัน และความหวังว่าตนก็ยังมีหลานชายนี่แหละที่ทำให้เธอมีกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อไปอีก
“อยู่กับป้านะลูก...ลูกอย่าทิ้งป้าไปนะ...”
พวงแสดกอดหลานชายไว้แน่น พร่ำพูดในสิ่งที่เด็กน้อยยังมิอาจเข้าใจได้ลึกซึ้งแต่อย่างใด
แต่เมื่อหลานชายมีอายุถึงวัยที่จะเข้าโรงเรียนได้ ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็มาเรียกร้องทวงคืนไปโดยปราศจากความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
“เบิร์ดต้องเข้าโรงเรียนแล้วล่ะพี่...ผมมาขอรับแกไปอยู่ด้วย”
“ให้เข้าโรงเรียนใกล้ๆ นี่ได้มั้ย...ให้แกอยู่กับพี่ พี่รับรองว่าจะดูแลแกอย่างดีที่สุด”
เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่พี่สาวเป็นฝ่ายวิงวอนขอร้อง ขอความเห็นใจแต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกับที่อีกฝ่ายเคยเรียกร้องต้องการ
“ไม่ได้หรอกพี่ ลูกของผมจะเรียนโรงเรียนเล็กๆ กระจอกๆ แถวๆ นี้ได้ยังไง...ไว้พี่ค่อยคอยเลี้ยงเจ้าสองคนนั่นก็แล้วกันนะ ไม่นานคงมีมาให้พี่เลี้ยงแน่...”
“แล้วพี่จะอยู่คนเดียวได้ยังไง...ถ้าไม่มีตานกพี่ก็ไม่มีใครอีกแล้ว พี่ขอร้องเถอะนะ ให้แกโตกว่านี้อีกนิด...ให้เวลาพี่ทำใจ...พี่ตั้งใจไว้แล้วว่าบั้นปลายของชีวิตพี่จะไปให้ชีวิตอยู่ในวัด...
“พี่พวงอย่าพูดเอาแต่ได้ซี พี่คิดถึงแต่ตัวเอง พูดเห็นแก่ได้ ลูกใครใครก็รัก จริงอยู่ดากำลังท้องอ่อนๆ แต่ลูกคนต่อไปเราไม่เอามาให้พี่เลี้ยงอีกหรอก ตอนนี้เรามีเด็กมาอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ถึงเราจะมีลูกอีก ตาเบิร์ดก็เป็นลูกเรา เราจะยกให้พี่ง่ายๆ ได้ไง...และที่พี่ว่าพี่อยู่คนเดียวไม่ได้...พี่ก็ไปอยู่วัดเสียแต่ตอนนี้เลยก็ได้พี่ คนในละแวกบ้านย่านนี้ที่พี่รู้จักก็ไปอยู่ที่นั่นกันหลายคน พี่อายุพอสมควรแล้วไปเข้าวัดฟังธรรมอยู่อย่างสงบให้สมวัยจะดีกว่า”
ศาลาท่าน้ำใต้ร่มเงาของต้นตะแบกสูงใหญ่ได้กลายเป็นสถานที่ที่ยายพวงแสดมานั่งร้องเพลงมาลัยไว้บูชาพระหลังเสร็จงานในวัดแล้วทุกๆ วัน พลางก็มักจะมองดูสายน้ำที่ไหลผ่านไปเงียบๆ ...สายน้ำไหลไปแล้วก็จะไม่หวนคืนกลับ เหมือนชีวิตของคนที่ไม่อาจเพรียกเรียกหาความประทับใจบางช่วงของชีวิตให้หวนคืน
ธรรมสถานแห่งนี้ได้ช่วยเยียวยา “ใจดวงหนึ่ง” ที่ต้องอดทน...อดกลั้น ต้องรับความรู้สึกทุกข์ท้อ น้อยใจ หดหู่และอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ผู้คนรอบข้างเป็นกลไกป้อนให้มาตั้งแต่วัยเด็กจนล่วงเข้าสู่วัยปลายให้ค่อยๆ สงบลง...สงบลงจนสามารถยอมรับสัจจธรรมของชีวิตได้โดยดุษณี แม้จนหลานชายได้มาเยี่ยมเยือนเมือไม่นานมานี้และจะขอรับตัวไปอยู่ด้วยแกกลับปฏิเสธไปด้วยอาการอันสงบ
“ขอบใจนกมากที่ยังคิดถึงป้า จะมารับข้าไปดูแลในยามแก่เฒ่า ความกตัญญูกตเวทิตาคุณนี้ก็จะส่งผลดีต่อตัวนกเอง แต่ป้าพอใจ และมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นี่แล้ว อย่าดึงป้าไปสู่โลกแห่งความสับสนภายนอกอีกเลย”
หญิงชราร้อยพวงมาลัยมาลิสดเสร็จแล้วก็ค่อยๆ หย่อนมันลงในตะกร้าหวายใบย่อมๆ ที่วางอยู่ข้างตัวอย่างระมัดระวังพลางก็ขยับลุกขึ้น แต่ก่อนจะผละจากที่นั่นแกทอดสวยตาดูสายน้ำอยู่ราวอึดใจ ก่อนจะเดินจากมาเงียบๆ ด้วยอาการอันสงบอย่างผู้ที่ปลงใจให้กับความเป็นไปของชีวิตได้อย่างมั่นคงแล้ว
ทะเลหัวหิน
ทะเลหัวหิน
รายการ กระเตงลูกเที่ยว ไปเที่ยวหัวหิน โดยฝันเด่น จรรยาธนากร ไกด์กระเตงลูกเที่ยว ทริปนี้จะพาไป ทะเลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับครอบครัว นุ๊ก สุทธิดา และได้เตรียมที่พักที่ดีที่สุดของหัวหินที่ ฮิลตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา Hilton Hua Hin Resort & Spa ที่นี่จะถูกใจกับเด็กๆ เพราะมีกิจกรรมมากมายข้อมูลทั่วไปของหัวหิน
หัวหินอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางทิศใต้ประมาณ 200 กิโลเมตร อยู่ติดชายฝั่งทางทิศตะวันตกของอ่าวไทย จัดได้ว่าเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศริมทะเลที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย หัวหินได้ถูกเปลี่ยนแปลงจากแต่เดิมที่เป็นชุมชนชาวประมง มาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในปี 2463 และเริ่มมีการก่อสร้างทางเดินรถไฟสถานีหัวหินในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (ปี พ.ศ. 2453-2468) รวมถึงพระราชวังไกลกังวลในรัชกาลที่ 7 ปีพุพธศักราช 2469 พระราชวังแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นที่ประทับรับรองของพระราชวงศ์ เมื่อมีการเสด็จเยือนหัวหิน
โรงแรมรถไฟถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรสวยงามในปี 2466 ตามแบบสไตล์โคโลเนียลโดยกรมการรถไฟ ต่อมาในปี 2467 ได้มีการเปิดใช้สนามกอล์ฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ใช้ชื่อว่า เดอะรอยัลหัวหินกอล์ฟคอร์ส นับแต่นั้นความเจริญที่เริ่มแผ่ขยายเข้ามา ทำให้หัวหินเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมมีมนต์เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันหัวหินเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว หัวหินยังมีโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวหลายแห่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหัวหินพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไว้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว ให้เข้ามาสัมผัสแหล่งอารยธรรม ประเพณีของไทยที่มีตลอดทั้งปี เช่น เทศกาลตรุษจีน เทศกาลสงกรานต์ ประเพณีวันลอยกระทง มหกรรมดนตรีหัวหินแจ๊สเฟสติวัล หัวหิน-ชะอำกอล์ฟเฟสติวัล และการแข่งขันครั้งสำคัญ “การแข่งขันหัวหินโปโลช้างชิงถ้วยพระราชทาน”
หัวหินเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีบรรยากาศเงียบสงบ อาจทำให้ผู้ที่ชื่นชอบแสงสีและชีวิตยามค่ำคืนต้องผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็จะได้ซึมซับกับประสบการณ์ใหม่ๆ เช่นเยี่ยมชมชีวิตความเป็นอยู่ของหมู่บ้านชาวประมง หรือแวะชิมอาหารทะเลสดๆจากภัตตราคารที่มีให้เลือกมากมาย เมื่อมองออกไปกลางทะเลก็จะเห็นแสงไฟระยิบระยับจากเรือหาปลายามค่ำคืนกลางทะเลอ่าวไทย และขาดไม่ได้คือการได้ออกรอบบนสนามกอล์ฟที่ได้มาตราฐานระดับโลก ลองมาค้นหาความมหัศจรรย์ของหัวหินด้วยตาของคุณเอง
น้ำตกเอราวัณ
น้ำตกเอราวัณ
น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ตั้งอยู่ที่ อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกที่มีระยะทางยาวประมาณ 1,500 เมตร ติดต่อกัน ซึ่งแบ่งออกเป็นชั้นๆ ได้ 7 ชั้นเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เดิม มีชื่อว่า น้ำตกสะด่องม่องลาย ตามชื่อลำห้วยม่องล่ายซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตกที่เกิดจากยอดเขา ตาม่องล่ายใน เทือกเขาสลอบ สายน้ำจะไหลมาตามชั้นหินเป็นระยะทางประมาณ 1,500 เมตร แบ่งออกเป็นชั้นใหญ่ๆได้ 7 ชั้น แต่ละชั้นมีีความสวยงามร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวทอดตัวไปบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ป่า หลายชนิดบนคาคาคบไม้ สายธารน้ำที่ไหลตกลดหลั่นลงมาบนโขดหินสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง เสียงสาดซ่า คลอเคล้า ด้วยเสียงเพรียกของนกป่า ทำให้สภาพความเป็นธรรมชาติสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นับเป็นบรรยากาศที่เรียกเอาความมี คุณค่าของป่าเขาลำเนา ไพรซึมซับเข้าสู่อารมณ์ของผู้ใฝ่ความสันโดษ และรักธรรมชาติโดยแท้จริง ในชั้นที่ 7 อันเป็นชั้นบนสุดของน้ำตกลักษณะของน้ำตกชั้นที่ 7 ลักษณะสายน้ำไหลบ่า มองดูคล้ายกับหัวช้างเอราวัณซึ่งมี 3 หัว จึงกลายมาเป็นที่มาของชื่อน้ำตก จนคนทั่วไปรู้จักและขนานนามว่า “น้ำตกเอราวัณ”
สิ่งที่รู้สึกได้เมื่อมาถึงยังบริเวณน้ำตก คือความเย็นสบายแต่เมื่อได้เห็นตัวน้ำตกก็ต้องตะลึงในความงามของตัว น้ำตกที่น้ำใสแจ๋ว มองเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมาใต้ผืนน้ำที่สะท้อนแสงเป็นสีฟ้าอมเขียวมรกตคล้ายน้ำใน สระว่ายน้ำ ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากลักษณะของภูเขาใน อุทยานฯเอราวัณ เป็นเป็นเทือกเขาหินปูนที่เกิดจาก การทับถมของ เปลือกหอย ปู หรือปะการังดังนั้นน้ำตกเอราวัณที่ไหลมาจากเทือกเขาหินปูนจึงมีสารละลายของ แคลเซียมคาร์บอเนต เจือปนอยู่ ซึ่งแคลเซียมคาร์บอเนตนี้จะตกตะกอนในบริเวณที่มีน้ำไหลช้าหรือเป็นแอ่งน้ำ ทำให้ชั้นน้ำตกมีคราบหินปูนก่อตัว และหินปูนนี้สามารถละลายน้ำได้ดี เมื่ออยู่ในรูปของสารละลายก็สามารถ ตก ตะกอนได้ น้ำตกหินปูนจึงมีน้ำใสในตอนบน และมีการตกตะกอนขุ่นในช่วงล่างของธารน้ำ เมื่อแสงส่องลงมาจะ ทำให้สะท้อนเป็นสีฟ้าหรือสีเขียวมรกตสวยงามมาก
แอ่งน้ำใสๆ
น้ำตกชั้นแรกมีชื่อว่า"ไหลคืนรัง"ชั้นต่อมาชื่อ"วังมัจฉา" ชั้นที่ 3 "ผาน้ำตก" ชั้นที่4"อกผีเสื้อ" ชั้นที่ 5 "เบื่อไม่ลง" ชั้นที่ 6"ดงพฤกษา" และชั้นสุดท้ายชื่อว่า "ภูผาเอราวัณ"โดยน้ำตกแต่ละชั้นไม่ใช่มีแค่ชื่อที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น แต่น้ำตกแต่ละชั้นก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันออกไป สำหรับท่านที่ต้องการเยี่ยมชมน้ำตกทั้ง 7 ชั้นจาก การสอบถามจากเจ้าหน้าที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการขึ้น - ลง
ซ้าย น้ำตกชั้นที่1, ขวา น้ำตกชั้นที่ 2
เราทางอุทยานฯตั้งชื่อเช่นนี้ คิดว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำตกชั้นนี้มีปลาอาศัยอยู่เยอะก็เป็นได้ ซึ่งปลาเหล่านี้คือ "ปลาพลวง" เป็นปลาน้ำจืดในตระกูลปลาตะเพียน ลำตัวสีน้ำตาลเขียว เกล็ดโต มีหนวดยาว 2 คู่ ตรงจงอยปาก และ มุมปาก ชอบอาศัยบริเวณธารน้ำตก ลำห้วย หรือธารน้ำที่ใสสะอาด มีพื้นเป็นกรวดหรือทราย ที่วังมัจฉาสี ของน้ำมี 2 สีอย่างเห็นได้ชัด คือน้ำสีฟ้าเขียวและน้ำใสๆตามปกติ ซึ่งปลาพลวงชอบจะอาศัยอยู่ในน้ำใสมากกว่า นอกจากนี้ที่น้ำตกชั้น 2ยังมีความสวยงามของม่านน้ำตกที่เบื้องหลังสายน้ำตกที่ตกลงมากระเซ็นเป็นฝอยนั้นมี ผาลึกเข้าไปเล็กน้อย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปหลังม่านน้ำตกนี้ได้
ซ้าย อีกมุมของน้ำตกชั้นที่ 2 , ขวา น้ำตกชั้นที่4
น้ำตกชั้นที่ 3 ที่มีน้ำตกที่ตกลงมาจากผาชันดังชื่อของน้ำตกชั้นนี้ว่า"ผาน้ำตก" จากนั้นก็เดินข้ามสะพานไม้ถัดขึ้น ไปเป็นน้ำตกชั้นที่ 4 "อกผีเสื้อ" ที่มีชื่อเช่นนี้ก็คงเพราะรูปร่างของหินที่อยู่ในน้ำตกชั้นนี้ "ผู้จัดการท่องเที่ยว" มองดูคล้ายอกของผู้หญิง หรือถ้าเป็นอกผีเสื้อก็คงเป็นอกผีเสื้อสมุทร ที่มีน้ำตกไหลครอบคลุมหินกลมมน ก้อนใหญ่ 2 ก้อนดูแล้วนิ่มนวลสวยงามมาก
ระหว่างทางไปน้ำตก
ถัดมาเป็นน้ำตกชั้นที่ 5 ชื่อว่า"เบื่อไม่ลง" ด้วยลักษณะของน้ำที่ไหลตกลงมาตามชั้นหินเตี้ยๆหลายๆชั้นบวกกับน้ำ ที่มีสีฟ้าเขียวทำให้เกิดความสวยงามน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง ต่อไปเป็นชั้น "ดงพฤกษา" ซึ่งอุดมไปด้วยแมกไม้ นานา พันธุ์แต่ดูไม่รกทึบส่วนชั้นสุดท้าย "ภูผาเอราวัณ" ที่ได้ชื่อเช่นนี้คงเนื่องมาจากว่าเมื่อน้ำตกไหล บ่าผ่านผา และชั้นหินบน ภูเขามองดูจากระยะไกลคล้ายกับหัวช้างเอราวัณซึ่งมี 3 หัว จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำตกชั้นที่ 7 และเป็นชื่อของอุทยาน แห่งชาตินี้ด้วย
น้ำตกชั้นที่ 5
นอกจากนี้ทางอุทยานฯได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทางอุทยานฯ ได้จัดเส้นทางไว้สำหรับนักท่องเที่ยว ที่ต้องการศึกษาธรรมชาติ 2 เส้นทาง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที คือ เส้นทางสายป่าดิบแล้งม่องไล่ - ระยะทาง 1,010 เมตร ลักษณะเป็นทางเดินเลียบลำห้วยม่องไล่ เริ่มจากสะพานค่ายพักไปบรรจบกับเส้นทาง ใน
น้ำตกเอราวัณชั้นที่ 3 เส้นทางเขาหินล้านปี - ระยะทาง 1,940 เมตร เริ่มจากลานจอดรถไปบรรจบกับเส้นทาง สู่น้ำตกบริเวณสะพานของ น้ำตกเอราวัณชั้นที่ 4
น้ำตกเอราวัณชั้นที่ 3 เส้นทางเขาหินล้านปี - ระยะทาง 1,940 เมตร เริ่มจากลานจอดรถไปบรรจบกับเส้นทาง สู่น้ำตกบริเวณสะพานของ น้ำตกเอราวัณชั้นที่ 4
คําคมน่ารักๆ
คําคมน่ารักๆ
No man/woman is worth your tears and the only one who is,
will never make you cry. ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนมีค่าพอที่คุณจะต้องเสียน้ำตาให้
ส่วนคนที่มีค่าพอนั้น
เขาย่อมที่จะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้อย่างเด็ดขาด
If you love someone,
put their name in a circle,
instead of a heart,
because hearts can break,
but circles go on forever. ถ้าคุณรักใครสักคน
จงเอาเขาไว้รอบตัวคุณแทนที่จะใส่เขาไว้ในใจ
เพราะหัวใจสามารถแตกสลายได้
แต่ถ้าเขาอยู่รอบตัวคุณ เขาจะอยู่กับคุณตลอดไป
Everyone hears what you say.
Friends listen to what you say.
Best friends listen to what you don''t say. ทุกคนได้ยินสิ่งที่ท่านพูด
เพื่อนทั่วๆไปจะรับฟังในสิ่งที่ท่านพูด
แต่เพื่อนแท้จะรับฟังความรู้สึกที่ท่านไม่เอ่ยมันออกมา
If all my friends were to jump off a bridge,
I wouldn''t jump with them,
I''d be at the bottom to catch them. ถ้าเพื่อนของทั้งหมดของข้าพเจ้าพร้อมใจกันกระโดด
ลงมาจากสะพาน
ข้าพเจ้าจะไม่โดดตามพวกเขาไป
แต่ข้าพเจ้าจะยอมรออยู่ที่ก้นเหวเพื่อที่จะรับพวกเขา
Don''t frown,
because you never know who''s falling in love with your smile! อย่าทำหน้าบูดบึ้ง
เพราะว่าท่านจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครกำลังชื่นชม
รอยยิ้มของท่านอยู่
If you judge people,
you have no time to love them. ถ้าท่านมัวแต่คิดตัดสินผู้อื่น
ท่านก็จะไม่มีเวลาพอที่จะรักและเข้าใจพวกเขา
Be kind,
for everyone you meet is fighting a harder battle. จงมีจิตใจที่ดีต่อผู้อื่น
เพราะว่าทุกคนที่ท่านพบกำลังต่อสู้กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่
กว่าที่ท่านกำลังประสบอยู่
It may take only a minute to like someone,
only an hour to have a crush on someone
and only a day to love someone
but it will take a lifetime to forget someone. มันอาจจะใช้เวลาเพียงชั่วนาทีที่จะชอบใครสักคน
เพียงชั่วโมงที่จะนึกรักใครสักคน
และเพียงชั่ววันที่จะรักใครสักคน
เเต่มันจะใช้เวลาชั่วชีวิตของท่านที่จะลืมคนคนนั้น
Enthusiasm is contagious.
You might cause an outbreak and affect many. ความกระตือรือล้นนั้นติดต่อกันได้
โดยที่ท่านอาจสามารถแพร่มันออกไปและส่งผล
กระทบให้อีกหลายคนกระตือรือล้นตามท่านได้
Yesterday is the history,
tomorrow is a mystery.
Today is a gift,
that is why it is called the present. เมื่อวานคืออดีต
พรุ่งนี้คือปริศนา
แต่วันนี้คือสิ่งที่ท่านมี
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเรียกปัจจุบันนี้ว่าของขวัญ(Present)
Dance like nobody''s watching,
and love like it''s never gonna hurt. ปล่อยตัวเต้นรำให้สนุกสนานเหมือนไม่มีใครจ้อง
และจงรักเหมือนว่ามันจะไม่นำความเจ็บปวดมาให้
Send this to everyone you will never forget,
and send it back to the person who sent it to you too,
just to show them that you will never forget them too.
ส่งสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับคนที่ท่านคิดว่าจะไม่มีวันลืม
และส่งกลับไปยังผู้ที่ส่งมาให้ท่าน
เพื่อให้เขารู้ว่าท่านก็จะไม่มีวันลืมเขาเช่นกัน
If you don''t send it back,
it means that you are not a true friend. ถ้าท่านไม่ส่งกลับ
นั่นหมายถึงว่าท่านมิได้คิดว่าท่านเป็นเพื่อนแท้ของเขา
so send it to everyone that you never will forget. ดังนั้นจงส่งสิ่งดีๆเหล่านี้ไปให้ทุกคนที่ท่านจะไม่มีวันลืมเขาออกจากใจ
will never make you cry. ไม่มีชายหรือหญิงคนไหนมีค่าพอที่คุณจะต้องเสียน้ำตาให้
ส่วนคนที่มีค่าพอนั้น
เขาย่อมที่จะไม่มีวันทำให้คุณร้องไห้อย่างเด็ดขาด
If you love someone,
put their name in a circle,
instead of a heart,
because hearts can break,
but circles go on forever. ถ้าคุณรักใครสักคน
จงเอาเขาไว้รอบตัวคุณแทนที่จะใส่เขาไว้ในใจ
เพราะหัวใจสามารถแตกสลายได้
แต่ถ้าเขาอยู่รอบตัวคุณ เขาจะอยู่กับคุณตลอดไป
Everyone hears what you say.
Friends listen to what you say.
Best friends listen to what you don''t say. ทุกคนได้ยินสิ่งที่ท่านพูด
เพื่อนทั่วๆไปจะรับฟังในสิ่งที่ท่านพูด
แต่เพื่อนแท้จะรับฟังความรู้สึกที่ท่านไม่เอ่ยมันออกมา
If all my friends were to jump off a bridge,
I wouldn''t jump with them,
I''d be at the bottom to catch them. ถ้าเพื่อนของทั้งหมดของข้าพเจ้าพร้อมใจกันกระโดด
ลงมาจากสะพาน
ข้าพเจ้าจะไม่โดดตามพวกเขาไป
แต่ข้าพเจ้าจะยอมรออยู่ที่ก้นเหวเพื่อที่จะรับพวกเขา
Don''t frown,
because you never know who''s falling in love with your smile! อย่าทำหน้าบูดบึ้ง
เพราะว่าท่านจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีใครกำลังชื่นชม
รอยยิ้มของท่านอยู่
If you judge people,
you have no time to love them. ถ้าท่านมัวแต่คิดตัดสินผู้อื่น
ท่านก็จะไม่มีเวลาพอที่จะรักและเข้าใจพวกเขา
Be kind,
for everyone you meet is fighting a harder battle. จงมีจิตใจที่ดีต่อผู้อื่น
เพราะว่าทุกคนที่ท่านพบกำลังต่อสู้กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่
กว่าที่ท่านกำลังประสบอยู่
It may take only a minute to like someone,
only an hour to have a crush on someone
and only a day to love someone
but it will take a lifetime to forget someone. มันอาจจะใช้เวลาเพียงชั่วนาทีที่จะชอบใครสักคน
เพียงชั่วโมงที่จะนึกรักใครสักคน
และเพียงชั่ววันที่จะรักใครสักคน
เเต่มันจะใช้เวลาชั่วชีวิตของท่านที่จะลืมคนคนนั้น
Enthusiasm is contagious.
You might cause an outbreak and affect many. ความกระตือรือล้นนั้นติดต่อกันได้
โดยที่ท่านอาจสามารถแพร่มันออกไปและส่งผล
กระทบให้อีกหลายคนกระตือรือล้นตามท่านได้
Yesterday is the history,
tomorrow is a mystery.
Today is a gift,
that is why it is called the present. เมื่อวานคืออดีต
พรุ่งนี้คือปริศนา
แต่วันนี้คือสิ่งที่ท่านมี
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงเรียกปัจจุบันนี้ว่าของขวัญ(Present)
Dance like nobody''s watching,
and love like it''s never gonna hurt. ปล่อยตัวเต้นรำให้สนุกสนานเหมือนไม่มีใครจ้อง
และจงรักเหมือนว่ามันจะไม่นำความเจ็บปวดมาให้
Send this to everyone you will never forget,
and send it back to the person who sent it to you too,
just to show them that you will never forget them too.
ส่งสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับคนที่ท่านคิดว่าจะไม่มีวันลืม
และส่งกลับไปยังผู้ที่ส่งมาให้ท่าน
เพื่อให้เขารู้ว่าท่านก็จะไม่มีวันลืมเขาเช่นกัน
If you don''t send it back,
it means that you are not a true friend. ถ้าท่านไม่ส่งกลับ
นั่นหมายถึงว่าท่านมิได้คิดว่าท่านเป็นเพื่อนแท้ของเขา
so send it to everyone that you never will forget. ดังนั้นจงส่งสิ่งดีๆเหล่านี้ไปให้ทุกคนที่ท่านจะไม่มีวันลืมเขาออกจากใจ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 เมตร ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีขนดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าแมว จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย
มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2) ก็คือ การส่งเสริมโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามิลค์เป็นปริมาณมาก
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
อนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ มะนาวเทศ (Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน มะนาวควาย หรือ ส้มซ่า (Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กัน
ส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้น
มะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิวสำนวนเกี่ยวกับมะนาว
มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2) ก็คือ การส่งเสริมโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามิลค์เป็นปริมาณมาก
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง
ชื่อของมะนาว
มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธาน สำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่ค้นเคยของมะนาว ก็คือ Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้- C. acida Roxb.
- C. lima Lunan
- C. medica var. ácida Brandis และ
- Limonia aurantifolia Christm
อนึ่ง คำว่า เลมอน (lemon) ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ผลส้มอีกชนิดหนึ่ง ที่หัวท้ายมน ไม่ใช่ผลกลมอย่างมะนาวที่เรารู้จักกันดี สำหรับ มะนาวเทศ (Triphasia trifolia) นั้น เป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (Rutaceae) กับมะนาว แต่ต่างสกุล ส่วน มะนาวควาย หรือ ส้มซ่า (Citrus medica Linn. Var. Linetta.) เป็นพืชสกุลส้มเช่นเดียวกัน แต่ต่างชนิด (สปีชีส์) กัน
ส้มนาวเป็นภาษาใต้ที่ใช้เรียกมะนาว เช่นเดียวกับทางภาคอีสานเรียกผลไม้บางอย่างว่า"บัก"ในการขึ้นต้น เช่นบักม่วงที่หมายถึงมะม่วง คำว่าส้มในภาษาใต้จะใช้เรียกผลไม้บางชนิดที่มีรสเปรี้ยว อย่าง ส้มนาว ส้มขาม เป็นต้น
พันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย
- มะนาวไข่ ผลกลม หัวท้ายยาว มีสีอ่อนคล้ายไข่เป็ด ขนาด 2-3 เมตร เปลือกบาง
- มะนาวแป้น ผลใหญ่ ค่อนข้างกลมแป้น เปลือกบาง มีน้ำมาก นิยมใช้บริโภคมากกว่าพันธุ์อื่นๆ ในเชิงพาณิชย์จะปลูก มะนาวพันธุ์แป้นรำไพและพันธุ์แป้นดกพิเศษ สามารถบังคับให้ออกฤดูแล้งได้ง่าย[1]
- มะนาวหนัง ผลอ่อนกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อโตเต็มที่ผลจะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีเปลือกหนา ทำให้เก็บรักษาผลได้นาน
- มะนาวทราย ทรงพุ่มสวยใช้เป็นไม้ประดับ ให้ผลตลอดปีแต่ไม่ค่อยนิยมบริโภค เพราะน้ำมีรสขมเจือปน
สรรพคุณทางยา
มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วยมะนาวมีประโยชน์ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ แก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม นอกจากนี้ยังช่วยแก้อาการปวดศีรษะ แก้อาเจียน เมาเหล้า ขจัดคราบบุหรี่ บำรุงตา บำรุงผิวสำนวนเกี่ยวกับมะนาว
- มะนาวไม่มีน้ำ หมายถึง พูดไม่น่าฟัง ไม่ไพเราะ ไม่รื่นหู ห้วนๆ ขาดความนุ่มนวล
- องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน (จากนิทานอีสป แต่ใช้กันมานาน จนรู้สึกราวกับเป็นสำนวนไทยแท้) หมายถึง เลี่ยงที่จะยอมรับในสิ่งที่ตนต้องการ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จ หรือเป็นไปไม่ได้ และยอมรับสิ่งที่ไม่ต้องการแทน
-
- ซักส้าวเอย มะนาวโตงเตง
น้ำมะนาว
ส่วนผสม- น้ำมะนาว 30 กรัม ( 2 ช้อนคาว หรือ 1 ผล ) - น้ำเชื่อม 30 กรัม ( 2 ช้อนคาว ) - น้ำเปล่าต้มสุก 180 กรัม ( 12 ช้อนคาว ) - เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม ( 2/5 ช้อน ) วิธีทำนำมะนาวมาล้างเปลือกแล้วผ่าออก เอาเมล็ดมะนาวออกให้หมดคั้นเอาแต่น้ำ ผสมกับน้ำ น้ำเชื่อม เกลือ คนให้เกลือละลายชิมรสตามชอบ หรืออาจเอาเปลือกของผลสดประมาณครึ่งผลหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออกชงน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ คุณค่าทางอาหาร: มีวิตามินซีมากช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน คุณค่าทางยา: ช่วยขับเสมหะ ลดอาการไอ เจ็บคอ คลื่นใส้อาเจียนและช่วยขับลมในกระเพาะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อและอ่อนเพลีย - ขุนนางมาเอง จะเล่นซักส้าว
- ซักส้าวเอย มะนาวโตงเตง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)